ผ้าแพรสีนิล
เศษเสี้ยวอาภรณ์
ของผู้ที่เป็นเจ้าแห่งวิญญาณทั้งปวง
สมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ ที่ถูกเล่าขานต่อกันมา...
ว่าเขาผู้นั้นเคยสัมผัสกับดินแดนแห่งความตายในสภาพที่ยังมีลมหายใจ
และได้รับของกำนัลหนึ่งสิ่งจากยมทูต
หนทางหนึ่งเดียว
ที่จะสามารถนำพาชีวิตอันสูญสลายกลับมาอีกครั้ง
SWEET PEPPER
#ฟิคพริกหวาน
#ฟิคพริกหวาน
CHAPTER ONE.
Seunghyun x Jaejin
Rating: PG-13
เมื่อหนึ่งชีวิตถูกทำให้กลับมาโดยการต่อรองกับผู้ครอบครองวิญญาณ อิทธิฤทธิ์แห่งผ้าแพรสีนิลจะสูญสิ้นและกำเนิดขึ้นใหม่หลังเวลาผ่านไป 99 ปี
ในที่สุด…
คืนนี้ผมเข้านอนเร็วกว่าวันอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ารายล่าสุดบรีฟงานรู้เรื่อง ทุกอย่างเลยเสร็จไว แต่สาเหตุหลักคือผมมี บางสิ่ง ที่ต้องทำ
ขั้นตอนของพิธีกรรมถูกศึกษามาอย่างดีแล้ว อันที่จริง มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเหมือนกับที่เราเคยเห็น ๆ กันในภาพยนตร์หรือละครทีวี ทั้งหมดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็มีแค่การนำผ้าผืนนั้นไปไว้ใต้หมอน
จากนั้นก็หลับตา
และฝัน
“ใคร คือคนที่เจ้าอยากพากลับไป”
“รักหนึ่งเดียว…
ชายที่ถูกท่านพรากจากโลกไปในวันนี้ของปีที่แล้ว”
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้ว
มนุษย์ตนนั้นจะฟื้นคืนชีพมาอย่างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์”
มีบางอย่างที่ต้องเจรจาต่อรอง
บางอย่างที่ต้องเลือก
ผมพยักหน้า
“กล่องเสียง หรือลูกนัยน์ตา”
ผมตื่นขึ้นบนเตียงที่อีกฝั่งไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนก่อน
น้ำหนักตัวที่กดผ้าปูที่นอนจนยุบบวกกับเสียงลมหายใจเบา ๆ ข้างกายทำให้ผมร้องไห้ออกมา
...อย่างหนัก
อี แจจิน กลับมาแล้ว
ผมค่อย ๆ คว้ากอดร่างนั้นไว้ เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมเล็กน้อยเหมือนที่ทำอยู่ทุกทีเวลาเราอยากนอนกอดกัน
สัมผัสแสนอบอุ่นเช่นนี้จากผมไปหนึ่งปีเต็ม
ซึ่ง… ความโหยหาทั้งหมด
มันทำให้ผมไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นไว้ได้อีก
“ฮึ่ก…”
เหมือนว่าแจจินจะตื่นแล้ว เขารีบพลิกตัวหันกลับมาอย่างร้อนรน ผมมองหน้าคนรักไม่ชัดเพราะน้ำที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา
เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้จนตัวโยนก็ตอนที่ปลายนิ้วของเขายื่นมาลูบเช็ดสายน้ำตาที่อาบหน้าผมอยู่
ดวงตาของผมยังคงปรับภาพไม่ได้
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้แจจินกำลังมีสีหน้าทุกข์ใจแค่ไหน
“ชั้นฝันร้าย...” ผมซุกหน้าลงกับบ่าเล็กทันทีที่เขากอดผม สาบานกับทุกสิ่งบนโลกว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมร้องไห้ต่อหน้าแจจิน “ชั้น ฝันว่านายหายไป”
แจจินบีบมือผมแน่นราวกับจะย้ำเตือนว่าเขาอยู่ที่นี่ตรงนี้ เขาจูบผม สัมผัสร่างกายผม และทำทุกอย่างเพื่อให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ทำทุกอย่าง
ยกเว้นพูด
ถึงแม้ว่าชีวิตที่ถูกพากลับมาจะเคยสูญสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่การฟื้นคืนชีพนั้นย่อมเป็นเหมือนเพียงการตื่นจากหลับใหล
พวกเขาไม่รู้
ว่าตนเองเคยตายมาก่อน
“ชั้นรักนายนะ”
สามวันหลังจากที่ผมได้คนรักกลับคืนมา แจจินยังคงแสดงท่าทีเป็นห่วงใต้ตาที่ทั้งบวมและแดงของผม
มันน่าสมเพชนะที่จู่ ๆ ตัวเองก็กลายเป็นคนอ่อนแอ
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก…
เพียงแต่เขาแค่ไม่มี โอกาส ที่จะได้เห็นผมในสภาพนั้น
เปลือกตาของผมหลับลงรับลมหายใจอุ่นขณะที่เขาเขย่งตัวขึ้นมาประทับจูบบนโหนกแก้ม เรายิ้มให้กันก่อนที่ประโยคบอกรักจะถูกเอ่ยขึ้นอีกรอบ
“ถึงเมื่อก่อนหรือแม้แต่ตอนนี้ สิ่งที่ชั้นทำกับนายไม่อาจยังไม่ชัดพอ…”
แจจินทำสายตาแบบเดียวกับอี แจจินในอดีต ความรู้สึกข้างในนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยอ่านออกเลยจนกระทั่งเขาจากไป แต่หนนี้มันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง
“ก็ต้องใช้คำพูดเป็นตัวยืนยัน ว่าชั้นจะรักนายคนเดียวเท่านั้น”
ไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ
อยากจะขอปัดเรื่องงานอันน่าปวดหัวออกไปจากชีวิตสักพัก ผมละทิ้งกองเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะเพื่อมาอุทิศตนเป็นลูกมือของแจจินสำหรับอาหารมื้อค่ำของวันนี้ แต่หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมกลับพบว่าตัวเองเอาแต่ยืนพิงกำแพงจ้องแฟนทำกับข้าวอยู่เงียบ ๆ ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยปากถามถ้าหากว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ
รู้สึกผิดสุด ๆ
“เดี๋ยว นั่น... พริกหวานเหรอ” ผมประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ในมือของแจจิน “นายกินพริกหวานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เสียงหัวเราะของผมทำเอาแจจินขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่นั่นก็ยิ่งน่าสงสัยหนักเข้าไปอีก รู้มั้ยว่าครั้งก่อนเราแทบไม่มองหน้ากันเป็นวัน ๆ เพียงเพราะผมบังคับให้เขากินพริกหวาน … ผักที่เจ้าตัวเกลียดที่สุด
แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ไหนเคยบอกว่ามันเหม็นไง” ผมหยิบชิ้นพริกสีแดงเข้มที่เขาหั่นทิ้งไว้บนเขียงมากินกะจะแกล้งพ่นกลิ่นปากใส่ แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้นเนื่องจากแจจินเพิ่งจะยื่นอะไรอย่างอื่นมาให้ผม
โทรศัพท์มือถือ
“อะไรน่ะ” ผมก้มลงอ่านหัวข้อบทความ ๆ หนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอ
15 สุดยอดอาหารบำรุงสายตา
ดูแลสุขภาพดวงตาให้หมดปัญหาอย่างได้ผล
ผมละสายตาจากเครื่องมือสื่อสารแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนรักที่กำลังยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นป้ายใต้ตาของตัวเองก่อนจะชี้กลับมาหาผม
ภาษามือแบบง่าย ๆ ซึ่งน่าจะแปลว่า “เลิกร้องไห้ได้แล้ว” ถูกส่งออกมาจากผู้ชายตรงหน้า ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วบอกกับแจจินว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก แอบขโมยพริกหวานอีกสักชิ้นแล้วหมุนตัวเดินออกมา
ปาดน้ำตา…
มันจะไม่เกิดขึ้นอีก
ดินเนอร์ที่บ้านแบบเรียบง่ายถูกปิดท้ายด้วยเมอร์โลท์ไวน์ที่ผมได้มาจากลูกค้าคนหนึ่งเมื่อสองสามเดือนก่อน คอแอลกอฮอล์อย่างแจจินทำหน้าสงสัยนิดหน่อยเมื่อเห็นผมเดินถือมันมา ก็เลยต้องอธิบายหลบหลีกไปว่าตั้งใจซ่อนไว้เป็นเซอร์ไพรส์
ทุกครั้งที่เราดื่มด้วยกัน ผมจะเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เฉย ๆ ในช่วงแรก
“ถูกใจมั้ย”
มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันกับนักดื่มทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องดมกลิ่นไวน์ของพวกเขาก่อน
ผมก็ชอบทำแบบนั้น...ด้วยวิธีการในแบบของผมเอง
ร่างในอ้อมแขนกำลังจดจ่ออยู่กับกลิ่นองุ่นหมักในแก้ว ดวงตาจ้องนิ่งไปที่รายการข่าวบนจอทีวีทว่าสมาธิยังคงพิจารณารสชาติของเครื่องดื่มที่เพิ่งไหลเข้าปาก ระหว่างรอคำตอบ ผมมีโอกาสพินิจส่วนเว้าโค้งอันได้รูปบนใบหน้าของคนรัก...เป็นครั้งที่่เท่าไหร่ไม่อาจนับ
แพขนตาที่สั่นระริกจากการครุ่นคิด
ริมฝีปากอิ่มถูกเคลือบบาง ๆ ด้วยเมอร์โลท์ไวน์สีแดงสว่าง
ลูกกระเดือกที่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะของการกลืน
หน้าอกที่ยุบเข้าและพองออกอย่างช้า ๆ
ทั้งหมดล้วนคือสัญญาณ...
ของการมีลมหายใจ
รวดเดียวหมด แจจินโน้มตัวไปหยิบขวดไวน์ขึ้นมาดูก่อนจะหันหน้ามาชูนิ้วโป้งให้ผม รู้ ๆ กันอยู่ว่าถ้าของมึนเมาเหล่านี้รสชาติถูกปากอี แจจิน ขึ้นมาล่ะก็... แก้ว จะไม่มีความจำเป็นใด ๆ อีก
“นี่ ขอชั้นลองบ้างสิ” ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมกับการดื่มแบบกระดกขวดครั้งแล้วครั้งเล่าของเขา ทั้งใบหน้าร้อนผ่าวและมีสีแดงแต่งแต้มอยู่แถว ๆ แก้มสองข้าง แจจินย้ายตัวเองมานั่งซ้อนกับผมบนโซฟาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มจะรู้สึกเคลิ้ม
อากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล์ราคาแพง ที่ผมอยากสูดดมมันให้ใกล้กว่านี้
“ขอชั้น จูบนายหน่อยสิ”
สติที่ไม่เต็มร้อยชักชวนให้แจจินของผมทำตัวซุกซนกว่าปกติ เขายกภาชนะบรรจุไวน์ในมือขึ้นมาระดับหัวแล้วพรมจูบที่ปากขวด เหมือนกับว่านั่น คือผม
แล้วก็หัวเราะ
“ผิดแล้ว ชั้นอยู่ตรงนี้” ผมแกล้งซื่อ แต่แอบฉวยโอกาสลวนลามซอกคออุ่นด้วยลิ้นที่หิวกระหาย ร่างผอมบางอ่อนปวกเปียกไปในทันทีที่ผมงับขบติ่งหูเล็ก ๆ นั่น แม้แต่การสูดดมกลุ่มผมสีบลอนด์ของเขาก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มลึกน่าค้นหาในขวดแก้วสีทึบทรงสูงใบนั้นไปด้วย
ไวน์ กับ แจจิน
“ทำไมมันถึงเข้ากันได้ดีขนาดนี้นะ”
“เหตุใดจึงไม่เลือกลูกนัยน์ตา…
หากเพียงแต่ไร้สิ่งนี้ เจ้าอาจไม่ต้องพึ่งพามนตราแห่งผ้าแพรสีนิล”
“เพราะผมยังต้องการให้เขามองเห็น”
ความรัก
ที่ผมมีให้แจจิน
เราสองคนแข่งกันวิ่งขึ้นเนินเขาเนินสุดท้ายก่อนถึงจุดชมวิว อากาศหน้าร้อนที่ร้อนสมใจทำเอาเนื้อตัวของผมและแจจินเหนอะเหงื่อไปหมด จะจับมือควงแขนกันก็เลยรู้สึกไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่
แต่ ก็จับนะ
“เหนื่อยมากมั้ย แจจิน” ผมส่งคำถามแทรกเสียงหายใจหอบของเขา “ไม่น่าชวนวิ่งเลย แต่ยังไงซะนายก็ชนะ... จะเอาอะไรว่ามา”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ท่ามกลางความมืดทำให้ผมรู้สึกใจไม่ค่อยดี น้อยคนจะขึ้นมาที่นี่หลังตะวันลับฟ้า แล้วยิ่งเป็นฤดูร้อน ในเวลาสามสี่ทุ่มแบบนี้ คนที่คิดเป็นเขาก็คงนอนเปิดแอร์อยู่บ้านชิลล์ ๆ
ส่วนพวกที่คิดไม่เป็นอย่างเรา…
“ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง” คำตอบที่ผมได้คือการส่ายหัวในรูปแบบของการไล่ความคิดบางอย่าง แจจินเดินมาจูบผมก่อนที่เราจะจูงมือกันไปนั่งตรงม้านั่งตัวตัวเดิม ที่เห็นวิวเมืองสวยที่สุด
แสงไฟจากถนนส่องสว่างปูพรมสีส้มอมเหลืองให้กับเมืองแห่งนี้ ควันหมอกจาง ๆ ปกคลุมเหนือยอดตึกสูงสร้างบรรยากาศแห่งมลภาวะที่บ่งบอกถึงความศิวิไลซ์
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเรียกหาชีวิตสงบสุขกลางธรรมชาติ เพราะแม้แต่ตัวเองที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาตั้งแต่เล็กก็ยังมองไม่เห็นความสุนทรีย์ใด ๆ จากการที่ต้องมานั่งบวกลบคูณหารเผื่อเวลารถติดก่อนออกเดินทาง หรือการรีบตื่น รีบไปทำงาน รีบกลับบ้าน รีบนอน แล้วก็วนลูป
และในฐานะที่มีอาชีพเป็นเอเจนซี่จัดอีเว้นท์ซึ่งทำให้ผมได้พบปะกับมนุษย์สวมหน้ากากหลากหลายประเภท ทุกวันนี้ผมก็ได้แต่เฝ้ารอให้… เอ่อ... พูดง่าย ๆ คือ หาลู่ทางที่จะยื่นใบลาออก
“นายต้องเบื่อแน่ ๆ ถ้าชั้นบ่นเรื่องงานให้ฟังอีก” ที่ไหล่ข้างซ้ายของผมรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแก้มของอีกคนที่ซบแนบลงมา
เอ๊ะ ไม่ใช่สิ คางต่างหาก
“ฮ่า ๆ โอเค อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” ผมห้ามเขาตั้งกี่หนแล้วกับไอ้การทำหน้าทำตาเป็นลูกหมาขี้อ้อนแบบนี้ แต่สั่งแจจินก็เหมือนสั่งน้ำมูกนั่นแหละ ไม่เคยทำตามเลยสักครั้ง
แกล้งงับจมูกบี้ ๆ นี่หน่อยเป็นไง
เขาดิ้นหนีผมไปยืนเกาะระเบียงไม้ด้านหน้า หัวเราะตัวงออยู่คนเดียว
เฮอะ นายอายุยี่สิบสี่แล้วนะแจจิน ทำไมยังทำตัวงุ้งงิ้งเป็นเด็ก
ไม่รู้เหรอว่าชั้นแพ้ทางอะไรอย่างนี้
ผมหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมาจากเป้ผ้าร่มของตัวเอง ซ่อนมันไว้ด้านหลังก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เดินย่องไปหาแจจินหลังจากเมื่อกี๊เขาหันหลังกลับไปยืนชมวิวเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ใจผมนั้นอยากที่สุดที่จะเข้าไปโอบกอดร่างผอม ๆ ตรงหน้า แต่ จุดมุ่งหมายของการมาที่นี่มันไม่ใช่เพื่อสร้างช่วงเวลาโรแมนติก
เราทำเรื่องแบบนั้นด้วยกันไปเยอะแล้ว
“แจจิน” ผมพยายามทำท่าทางเหมือนมีพิรุธ ยืนส่ายตัวเอามือไขว้หลังให้เขามองตาม
...แล้วเจ้าเด็กน้อยก็ติดกับผมจนได้
“หลับตาก่อน แล้วชั้นจะเฉลยว่ามันคืออะไร” หลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันพักนึงผมต้องกำราบให้แจจินอยู่เฉย ๆ เขายืนเอาหัวซบกับหน้าอกผมนิ่ง ประมาณว่านี่แหละ คือหลับตาแล้ว
ดื้อเว่อร์
“อย่าเพิ่งขยับนะ”
ผมใช้แขนข้างหนึ่งกอดเขาไว้ วกแขนอีกข้างกลับมาด้านหน้าแล้วยัดเจ้าอุปกรณ์ปริศนาลงในกระเป๋ากางเกงฝั่งที่อยู่ใกล้มือ และก่อนที่ได้กอดแจจินแบบเต็ม ๆ ตัว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดพิมพ์ข้อความสองสามประโยค...
แล้วก็รอ
ครืด…ครืด…
คนตัวเล็กของผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นข้าง ๆ ต้นขา ผมอนุญาตให้เขาลืมตาแล้วค้นหาความจริงเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องนั้น แจจินทำหน้าแปลกใจหลังพบว่ามัน...ก็คือโทรศัพท์มือถือ
เขากดปลดล็อคหน้าจอเพื่อเช็คต้นตอของเสียงแจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ ใบหน้าที่ผมตกหลุมรักผุดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากขณะกำลังอ่าน แชท ล่าสุด:
SHღ♥: ลองเปลี่ยนมาคุยกันแบบนี้มั้ยแจจิน
SHღ♥: คิดอะไรอยู่?
ผมมองคนที่กำลังรัวปลายนิ้วลงบนหน้าจออย่างมีความหวัง ไอเดียแสนธรรมดานี้ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้เมื่อตอนที่แจจินยื่นโทรศัพท์ให้ผมอ่านบทความพริกหวาน ถึงจะพูดไม่ได้แต่เราก็ส่งข้อความหากันได้นี่เนอะ
ผมรู้สึกเหนือกว่า ท่าน ก็วันนี้แหละ
ครืด...ครืด…
JJღ♥: ซึงฮยอนนี่
JJღ♥: นายอยากบ่นเรื่องงานก็บ่นไปสิ
JJღ♥: แต่ ขอชั้นจูบนายให้เสร็จก่อนนะ
No comments:
Post a Comment