May 17, 2018

[FANFIC] FTISLAND 'SWEET PEPPER' (SEUNGJAE) 1/3




ผ้าแพรสีนิล






เศษเสี้ยวอาภรณ์
ของผู้ที่เป็นเจ้าแห่งวิญญาณทั้งปวง






สมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ ที่ถูกเล่าขานต่อกันมา...
 ว่าเขาผู้นั้นเคยสัมผัสกับดินแดนแห่งความตายในสภาพที่ยังมีลมหายใจ



และได้รับของกำนัลหนึ่งสิ่งจากยมทูต












หนทางหนึ่งเดียว
ที่จะสามารถนำพาชีวิตอันสูญสลายกลับมาอีกครั้ง












SWEET PEPPER
 #ฟิคพริกหวาน 

CHAPTER ONE.







Seunghyun   x   Jaejin






Genre: A/U, Yaoi, Drama, Fantasy
Rating: PG-13






เมื่อหนึ่งชีวิตถูกทำให้กลับมาโดยการต่อรองกับผู้ครอบครองวิญญาณ อิทธิฤทธิ์แห่งผ้าแพรสีนิลจะสูญสิ้นและกำเนิดขึ้นใหม่หลังเวลาผ่านไป 99 ปี






ในที่สุด…






คืนนี้ผมเข้านอนเร็วกว่าวันอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ารายล่าสุดบรีฟงานรู้เรื่อง ทุกอย่างเลยเสร็จไว แต่สาเหตุหลักคือผมมี บางสิ่ง ที่ต้องทำ


ขั้นตอนของพิธีกรรมถูกศึกษามาอย่างดีแล้ว อันที่จริง มันก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเหมือนกับที่เราเคยเห็น ๆ กันในภาพยนตร์หรือละครทีวี ทั้งหมดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็มีแค่การนำผ้าผืนนั้นไปไว้ใต้หมอน

จากนั้นก็หลับตา


และฝัน












“ใคร คือคนที่เจ้าอยากพากลับไป”

“รักหนึ่งเดียว…
ชายที่ถูกท่านพรากจากโลกไปในวันนี้ของปีที่แล้ว”

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้ว
มนุษย์ตนนั้นจะฟื้นคืนชีพมาอย่างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์”


มีบางอย่างที่ต้องเจรจาต่อรอง

บางอย่างที่ต้องเลือก


ผมพยักหน้า


“กล่องเสียง หรือลูกนัยน์ตา”












ผมตื่นขึ้นบนเตียงที่อีกฝั่งไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนก่อน


น้ำหนักตัวที่กดผ้าปูที่นอนจนยุบบวกกับเสียงลมหายใจเบา ๆ ข้างกายทำให้ผมร้องไห้ออกมา

...อย่างหนัก






อี แจจิน กลับมาแล้ว






ผมค่อย ๆ คว้ากอดร่างนั้นไว้ เขาเขยิบตัวเข้ามาใกล้ผมเล็กน้อยเหมือนที่ทำอยู่ทุกทีเวลาเราอยากนอนกอดกัน


สัมผัสแสนอบอุ่นเช่นนี้จากผมไปหนึ่งปีเต็ม


ซึ่ง… ความโหยหาทั้งหมด

มันทำให้ผมไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นไว้ได้อีก


“ฮึ่ก…”


เหมือนว่าแจจินจะตื่นแล้ว เขารีบพลิกตัวหันกลับมาอย่างร้อนรน ผมมองหน้าคนรักไม่ชัดเพราะน้ำที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา


เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้จนตัวโยนก็ตอนที่ปลายนิ้วของเขายื่นมาลูบเช็ดสายน้ำตาที่อาบหน้าผมอยู่

ดวงตาของผมยังคงปรับภาพไม่ได้

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้แจจินกำลังมีสีหน้าทุกข์ใจแค่ไหน


“ชั้นฝันร้าย...” ผมซุกหน้าลงกับบ่าเล็กทันทีที่เขากอดผม สาบานกับทุกสิ่งบนโลกว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมร้องไห้ต่อหน้าแจจิน “ชั้น ฝันว่านายหายไป”


แจจินบีบมือผมแน่นราวกับจะย้ำเตือนว่าเขาอยู่ที่นี่ตรงนี้ เขาจูบผม สัมผัสร่างกายผม และทำทุกอย่างเพื่อให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน


ทำทุกอย่าง

ยกเว้นพูด






ถึงแม้ว่าชีวิตที่ถูกพากลับมาจะเคยสูญสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่การฟื้นคืนชีพนั้นย่อมเป็นเหมือนเพียงการตื่นจากหลับใหล


พวกเขาไม่รู้

ว่าตนเองเคยตายมาก่อน






“ชั้นรักนายนะ”


สามวันหลังจากที่ผมได้คนรักกลับคืนมา แจจินยังคงแสดงท่าทีเป็นห่วงใต้ตาที่ทั้งบวมและแดงของผม


มันน่าสมเพชนะที่จู่ ๆ ตัวเองก็กลายเป็นคนอ่อนแอ

ซึ่งจริง ๆ แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก…

เพียงแต่เขาแค่ไม่มี โอกาส ที่จะได้เห็นผมในสภาพนั้น


เปลือกตาของผมหลับลงรับลมหายใจอุ่นขณะที่เขาเขย่งตัวขึ้นมาประทับจูบบนโหนกแก้ม เรายิ้มให้กันก่อนที่ประโยคบอกรักจะถูกเอ่ยขึ้นอีกรอบ


“ถึงเมื่อก่อนหรือแม้แต่ตอนนี้ สิ่งที่ชั้นทำกับนายไม่อาจยังไม่ชัดพอ…”


แจจินทำสายตาแบบเดียวกับอี แจจินในอดีต ความรู้สึกข้างในนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยอ่านออกเลยจนกระทั่งเขาจากไป แต่หนนี้มันจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสอง


“ก็ต้องใช้คำพูดเป็นตัวยืนยัน ว่าชั้นจะรักนายคนเดียวเท่านั้น”


ไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ


อยากจะขอปัดเรื่องงานอันน่าปวดหัวออกไปจากชีวิตสักพัก ผมละทิ้งกองเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะเพื่อมาอุทิศตนเป็นลูกมือของแจจินสำหรับอาหารมื้อค่ำของวันนี้ แต่หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมกลับพบว่าตัวเองเอาแต่ยืนพิงกำแพงจ้องแฟนทำกับข้าวอยู่เงียบ ๆ ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยปากถามถ้าหากว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ


รู้สึกผิดสุด ๆ


“เดี๋ยว นั่น... พริกหวานเหรอ” ผมประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ในมือของแจจิน “นายกินพริกหวานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


เสียงหัวเราะของผมทำเอาแจจินขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่นั่นก็ยิ่งน่าสงสัยหนักเข้าไปอีก รู้มั้ยว่าครั้งก่อนเราแทบไม่มองหน้ากันเป็นวัน ๆ เพียงเพราะผมบังคับให้เขากินพริกหวาน … ผักที่เจ้าตัวเกลียดที่สุด


แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น


“ไหนเคยบอกว่ามันเหม็นไง” ผมหยิบชิ้นพริกสีแดงเข้มที่เขาหั่นทิ้งไว้บนเขียงมากินกะจะแกล้งพ่นกลิ่นปากใส่ แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้นเนื่องจากแจจินเพิ่งจะยื่นอะไรอย่างอื่นมาให้ผม


โทรศัพท์มือถือ


“อะไรน่ะ” ผมก้มลงอ่านหัวข้อบทความ ๆ หนึ่งที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอ


15 สุดยอดอาหารบำรุงสายตา
ดูแลสุขภาพดวงตาให้หมดปัญหาอย่างได้ผล


ผมละสายตาจากเครื่องมือสื่อสารแล้วเงยหน้าขึ้นมองคนรักที่กำลังยกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นป้ายใต้ตาของตัวเองก่อนจะชี้กลับมาหาผม

ภาษามือแบบง่าย ๆ ซึ่งน่าจะแปลว่า “เลิกร้องไห้ได้แล้ว” ถูกส่งออกมาจากผู้ชายตรงหน้า ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วบอกกับแจจินว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก แอบขโมยพริกหวานอีกสักชิ้นแล้วหมุนตัวเดินออกมา


ปาดน้ำตา…


มันจะไม่เกิดขึ้นอีก


ดินเนอร์ที่บ้านแบบเรียบง่ายถูกปิดท้ายด้วยเมอร์โลท์ไวน์ที่ผมได้มาจากลูกค้าคนหนึ่งเมื่อสองสามเดือนก่อน คอแอลกอฮอล์อย่างแจจินทำหน้าสงสัยนิดหน่อยเมื่อเห็นผมเดินถือมันมา ก็เลยต้องอธิบายหลบหลีกไปว่าตั้งใจซ่อนไว้เป็นเซอร์ไพรส์

ทุกครั้งที่เราดื่มด้วยกัน ผมจะเป็นฝ่ายนั่งรออยู่เฉย ๆ ในช่วงแรก


“ถูกใจมั้ย”


มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันกับนักดื่มทั่ว ๆ ไป ที่จะต้องดมกลิ่นไวน์ของพวกเขาก่อน

ผมก็ชอบทำแบบนั้น...ด้วยวิธีการในแบบของผมเอง


ร่างในอ้อมแขนกำลังจดจ่ออยู่กับกลิ่นองุ่นหมักในแก้ว ดวงตาจ้องนิ่งไปที่รายการข่าวบนจอทีวีทว่าสมาธิยังคงพิจารณารสชาติของเครื่องดื่มที่เพิ่งไหลเข้าปาก ระหว่างรอคำตอบ ผมมีโอกาสพินิจส่วนเว้าโค้งอันได้รูปบนใบหน้าของคนรัก...เป็นครั้งที่่เท่าไหร่ไม่อาจนับ


แพขนตาที่สั่นระริกจากการครุ่นคิด

ริมฝีปากอิ่มถูกเคลือบบาง ๆ ด้วยเมอร์โลท์ไวน์สีแดงสว่าง

ลูกกระเดือกที่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะของการกลืน

หน้าอกที่ยุบเข้าและพองออกอย่างช้า ๆ


ทั้งหมดล้วนคือสัญญาณ...

ของการมีลมหายใจ


รวดเดียวหมด แจจินโน้มตัวไปหยิบขวดไวน์ขึ้นมาดูก่อนจะหันหน้ามาชูนิ้วโป้งให้ผม รู้ ๆ กันอยู่ว่าถ้าของมึนเมาเหล่านี้รสชาติถูกปากอี แจจิน ขึ้นมาล่ะก็... แก้ว จะไม่มีความจำเป็นใด ๆ อีก


“นี่ ขอชั้นลองบ้างสิ” ครึ่งชั่วโมงผ่านไปพร้อมกับการดื่มแบบกระดกขวดครั้งแล้วครั้งเล่าของเขา ทั้งใบหน้าร้อนผ่าวและมีสีแดงแต่งแต้มอยู่แถว ๆ แก้มสองข้าง แจจินย้ายตัวเองมานั่งซ้อนกับผมบนโซฟาตั้งแต่ช่วงที่เริ่มจะรู้สึกเคลิ้ม


อากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นของแอลกอฮอล์ราคาแพง ที่ผมอยากสูดดมมันให้ใกล้กว่านี้


“ขอชั้น จูบนายหน่อยสิ”


สติที่ไม่เต็มร้อยชักชวนให้แจจินของผมทำตัวซุกซนกว่าปกติ เขายกภาชนะบรรจุไวน์ในมือขึ้นมาระดับหัวแล้วพรมจูบที่ปากขวด เหมือนกับว่านั่น คือผม

แล้วก็หัวเราะ


“ผิดแล้ว ชั้นอยู่ตรงนี้” ผมแกล้งซื่อ แต่แอบฉวยโอกาสลวนลามซอกคออุ่นด้วยลิ้นที่หิวกระหาย ร่างผอมบางอ่อนปวกเปียกไปในทันทีที่ผมงับขบติ่งหูเล็ก ๆ นั่น แม้แต่การสูดดมกลุ่มผมสีบลอนด์ของเขาก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มลึกน่าค้นหาในขวดแก้วสีทึบทรงสูงใบนั้นไปด้วย


ไวน์ กับ แจจิน


“ทำไมมันถึงเข้ากันได้ดีขนาดนี้นะ”












“เหตุใดจึงไม่เลือกลูกนัยน์ตา…
หากเพียงแต่ไร้สิ่งนี้ เจ้าอาจไม่ต้องพึ่งพามนตราแห่งผ้าแพรสีนิล”

“เพราะผมยังต้องการให้เขามองเห็น”


ความรัก

ที่ผมมีให้แจจิน












เราสองคนแข่งกันวิ่งขึ้นเนินเขาเนินสุดท้ายก่อนถึงจุดชมวิว อากาศหน้าร้อนที่ร้อนสมใจทำเอาเนื้อตัวของผมและแจจินเหนอะเหงื่อไปหมด จะจับมือควงแขนกันก็เลยรู้สึกไม่ค่อยถนัดสักเท่าไหร่


แต่ ก็จับนะ


“เหนื่อยมากมั้ย แจจิน” ผมส่งคำถามแทรกเสียงหายใจหอบของเขา “ไม่น่าชวนวิ่งเลย แต่ยังไงซะนายก็ชนะ... จะเอาอะไรว่ามา”


รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ท่ามกลางความมืดทำให้ผมรู้สึกใจไม่ค่อยดี น้อยคนจะขึ้นมาที่นี่หลังตะวันลับฟ้า แล้วยิ่งเป็นฤดูร้อน ในเวลาสามสี่ทุ่มแบบนี้ คนที่คิดเป็นเขาก็คงนอนเปิดแอร์อยู่บ้านชิลล์ ๆ


ส่วนพวกที่คิดไม่เป็นอย่างเรา…


“ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง” คำตอบที่ผมได้คือการส่ายหัวในรูปแบบของการไล่ความคิดบางอย่าง แจจินเดินมาจูบผมก่อนที่เราจะจูงมือกันไปนั่งตรงม้านั่งตัวตัวเดิม ที่เห็นวิวเมืองสวยที่สุด


แสงไฟจากถนนส่องสว่างปูพรมสีส้มอมเหลืองให้กับเมืองแห่งนี้ ควันหมอกจาง ๆ ปกคลุมเหนือยอดตึกสูงสร้างบรรยากาศแห่งมลภาวะที่บ่งบอกถึงความศิวิไลซ์

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงเรียกหาชีวิตสงบสุขกลางธรรมชาติ เพราะแม้แต่ตัวเองที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาตั้งแต่เล็กก็ยังมองไม่เห็นความสุนทรีย์ใด ๆ จากการที่ต้องมานั่งบวกลบคูณหารเผื่อเวลารถติดก่อนออกเดินทาง หรือการรีบตื่น รีบไปทำงาน รีบกลับบ้าน รีบนอน แล้วก็วนลูป

และในฐานะที่มีอาชีพเป็นเอเจนซี่จัดอีเว้นท์ซึ่งทำให้ผมได้พบปะกับมนุษย์สวมหน้ากากหลากหลายประเภท ทุกวันนี้ผมก็ได้แต่เฝ้ารอให้… เอ่อ... พูดง่าย ๆ คือ หาลู่ทางที่จะยื่นใบลาออก


“นายต้องเบื่อแน่ ๆ ถ้าชั้นบ่นเรื่องงานให้ฟังอีก” ที่ไหล่ข้างซ้ายของผมรู้สึกได้ถึงความร้อนจากแก้มของอีกคนที่ซบแนบลงมา


เอ๊ะ ไม่ใช่สิ คางต่างหาก


“ฮ่า ๆ โอเค อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” ผมห้ามเขาตั้งกี่หนแล้วกับไอ้การทำหน้าทำตาเป็นลูกหมาขี้อ้อนแบบนี้ แต่สั่งแจจินก็เหมือนสั่งน้ำมูกนั่นแหละ ไม่เคยทำตามเลยสักครั้ง


แกล้งงับจมูกบี้ ๆ นี่หน่อยเป็นไง


เขาดิ้นหนีผมไปยืนเกาะระเบียงไม้ด้านหน้า หัวเราะตัวงออยู่คนเดียว


เฮอะ นายอายุยี่สิบสี่แล้วนะแจจิน ทำไมยังทำตัวงุ้งงิ้งเป็นเด็ก

ไม่รู้เหรอว่าชั้นแพ้ทางอะไรอย่างนี้


ผมหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมาจากเป้ผ้าร่มของตัวเอง ซ่อนมันไว้ด้านหลังก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เดินย่องไปหาแจจินหลังจากเมื่อกี๊เขาหันหลังกลับไปยืนชมวิวเงียบ ๆ อยู่คนเดียว ใจผมนั้นอยากที่สุดที่จะเข้าไปโอบกอดร่างผอม ๆ ตรงหน้า แต่ จุดมุ่งหมายของการมาที่นี่มันไม่ใช่เพื่อสร้างช่วงเวลาโรแมนติก

เราทำเรื่องแบบนั้นด้วยกันไปเยอะแล้ว


“แจจิน” ผมพยายามทำท่าทางเหมือนมีพิรุธ ยืนส่ายตัวเอามือไขว้หลังให้เขามองตาม


...แล้วเจ้าเด็กน้อยก็ติดกับผมจนได้


“หลับตาก่อน แล้วชั้นจะเฉลยว่ามันคืออะไร” หลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันพักนึงผมต้องกำราบให้แจจินอยู่เฉย ๆ เขายืนเอาหัวซบกับหน้าอกผมนิ่ง ประมาณว่านี่แหละ คือหลับตาแล้ว


ดื้อเว่อร์


“อย่าเพิ่งขยับนะ”


ผมใช้แขนข้างหนึ่งกอดเขาไว้ วกแขนอีกข้างกลับมาด้านหน้าแล้วยัดเจ้าอุปกรณ์ปริศนาลงในกระเป๋ากางเกงฝั่งที่อยู่ใกล้มือ และก่อนที่ได้กอดแจจินแบบเต็ม ๆ ตัว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมากดพิมพ์ข้อความสองสามประโยค...

แล้วก็รอ


ครืด…ครืด…


คนตัวเล็กของผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นข้าง ๆ ต้นขา ผมอนุญาตให้เขาลืมตาแล้วค้นหาความจริงเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องนั้น แจจินทำหน้าแปลกใจหลังพบว่ามัน...ก็คือโทรศัพท์มือถือ

เขากดปลดล็อคหน้าจอเพื่อเช็คต้นตอของเสียงแจ้งเตือนเมื่อครู่นี้ ใบหน้าที่ผมตกหลุมรักผุดยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากขณะกำลังอ่าน แชท ล่าสุด:


SHღ♥: ลองเปลี่ยนมาคุยกันแบบนี้มั้ยแจจิน
SHღ♥: คิดอะไรอยู่?


ผมมองคนที่กำลังรัวปลายนิ้วลงบนหน้าจออย่างมีความหวัง ไอเดียแสนธรรมดานี้ผมเพิ่งจะนึกขึ้นได้เมื่อตอนที่แจจินยื่นโทรศัพท์ให้ผมอ่านบทความพริกหวาน ถึงจะพูดไม่ได้แต่เราก็ส่งข้อความหากันได้นี่เนอะ


ผมรู้สึกเหนือกว่า ท่าน ก็วันนี้แหละ


ครืด...ครืด…


JJღ♥: ซึงฮยอนนี่
JJღ♥: นายอยากบ่นเรื่องงานก็บ่นไปสิ
JJღ♥: แต่ ขอชั้นจูบนายให้เสร็จก่อนนะ






━   TBC   ━
read SWEET PEPPECHAPTER TWO. click here



May 7, 2018

[OS/NC-17] FTISLAND 'LDR' (SEUNGJAE)

  OS เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ดำเนินต่อจาก [Drabble] 'You're my tower controller.'
  ผู้เขียนจึงใคร่ขอแนะนำให้อ่านฟิค 200 คำ เรื่องด้านบนก่อน ทั้งนี้เพื่ออรรถรสที่มากขึ้น
  จะบอกว่าเรื่องนี้เป็น #ฟิควูบ และกามล้วนที่เหมือนจะไม่มีพล็อตแต่ก็มี แฮ่


-   -   -   -   -











OS: LDR


۞



genre:  yaoi, smut
pairing:  seunghyun  x  jaejin
rating:  nc - 17











-   -   -   -   -



  นิยามศัพท์


  TOWER CONTROL = 
ส่วนควบคุมจราจรทางอากาศบนทางวิ่งและอากาศยานโดยรอบท่าอากาศยาน ทำหน้าที่ดูแลเครื่องบินขึ้น-ลง เป็นหลัก
  หน้าที่ของนักบินทั้ง 2 คน ในห้องนักบิน ประกอบด้วย:
  PM(Pilot Monitoring) หน้าที่ของนักบินที่รับผิดชอบการติดต่อสื่อสาร ตรวจสอบการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมถึงการบินของนักบิน PF
  PF(Pilot Flying) = หน้าที่ของนักบินที่รับผิดชอบการควบคุมเครื่องบิน เครื่องยนต์ ระบบนำทาง และการปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ
  * นักบินที่ 1(กัปตัน) และนักบินที่ 2(F/O) สามารถทำหน้าที่สลับกันได้ตลอดการทำการบิน

  ✍ งานเขียนชิ้นนี้เป็น Fiction ที่ผู้แต่งทำการรีเสิร์ชข้อมูลเพื่อสร้างความสมจริงในบางประเด็นเท่านั้น










  มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าเขาพร้อมขนาดไหน


  ชายร่างบางเดินอ้อมสระว่ายน้ำไปหาซึงฮยอนที่นอนอาบแดดอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวตัวริมสุด ถึงรายนั้นจะสวมแว่นกันแดดอยู่ แต่ เมื่อคะเนจากองศาการเอียงศีรษะแล้ว แจจินพบว่าขณะนี้ตัวเขาเองก็กำลังถูกจ้องอยู่เช่นกัน





  “เก็บอาการหน่อย” ความร้อนในเส้นใยผ้าแผ่ไปยังฝ่ามือเล็กที่เพิ่งวางทาบลงบนกางเกงว่ายน้ำสีส้มสด ของแข็ง ข้างใต้ขยายขนาดจนจับได้พอดีมือ



  จะบีบเล่นสักสองสามทีก็คงไม่เสียหายอะไร



  “อืม...”



  ร่างหนาเผลอส่งเสียงแสดงความพอใจ เขาพามือของอีกคนสอดเข้าไปด้านในเครื่องนุ่งห่มชิ้นน้อย แล้วปล่อยให้แจจินยุ่งกับมันได้อย่างเต็มที่



  “ผมอยากสัมผัสคุณมากกว่านี้ ซึงฮยอน...” คนพูดใช้ปลายนิ้วลูบวนที่ ส่วนหัว จนมีของเหลวไหลซึมออกมา “...ทาวเวอร์ ของคุณ”

  “ไปกางร่มก่อน”





  เจ้าหน้าที่หอบังคับการบินละมือจากสิ่งนั้น ลุกขึ้นไปจัดการกับร่มคันใหญ่ข้างตัวก่อนจะหันกลับมาหาซึงฮยอนที่ตอนนี้ถอดกางเกงว่ายน้ำออกแล้ว





  “อะ อยากจะทำอะไรก็เชิญ” คนที่นอนอยู่นำเสนอตัวเองด้วยการผายมือไปยังส่วนสำคัญของร่างกาย

  “ขอบคุณครับ กัปตัน”



  รอยยิ้มขี้เล่นถูกส่งมาให้เขา ท่อนขายาวอ้าแยกออกเล็กน้อยให้อีกฝ่ายได้แทรกตัวเข้ามาระหว่างระยางค์ทั้งสองข้าง แจจินนอนเกยคางกับโคนขาอ่อนของซึงฮยอน สองนิ้วเล่นปูไต่บนท้องน้อยขาวเนียนละเลยอวัยวะอีกอย่างที่ตั้งชูชันอยู่ข้างแก้ม...โดยตั้งใจ



  “รักคุณนะ” ปลายนิ้วกลางไล้วนจดจ่อกับกลุ่มขนใต้สะดือที่ขึ้นเป็นทางยาวไปจนถึงจุดศูนย์รวมใหญ่ของมัน

  “เหมือนกัน”

  “คิดถึง ด้วยนะ” ปากแหลมพรมจูบผิวกายที่เคลือบด้วยโลชั่นกันแดด ไล่ตั้งแต่หน้าท้อง เชิงกราน ขาหนีบ และ

  “อ...อา แจจ--”



  ร่างสูงถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาหลับเคลิ้มไปกับการกระทำเหล่านั้น ส่วนโคน ของความเป็นชายกำลังรับเอาผิวสัมผัสที่เปียกชื้นจากลิ้นและริมฝีปากด้านใน ฟันหน้าที่แหลมคม อีกทั้งลมหายใจร้อนที่พ่นรดไปทั่วบริเวณ





  “เกือบเท่าหน้าแล้วอะ” แจจินลากสันจมูกขึ้นไปตามความยาว ใบหน้าหวานถูกใช้แทนไม่บรรทัดวัดขนาด สายตาทะเล้นทะลึ่งเหลือบจ้องปฏิกิริยาของคนรักที่ดูเหมือนว่า กำลังทรมาน “อือ ซึงฮยอน...”

  “เร็วเข้าสิ”

  “ไม่” ร่างบางยิ้มยั่ว “ผม เป็นคนควบคุมไม่ใช่เหรอ” ลิ้นเล็กตวัดแหย่ ยอดทาวเวอร์ ของซึงฮยอน จนเรียกเสียงสูดน้ำลายจากอีกคนได้เป็นระยะ





  “ค้างไว้...อย่างนั้น อืม แจจิน”



  ทุกบริเวณในช่องทางเปียกหมุนเวียนบทบาทกันต้อนรับแขกชิ้นยาวที่ร่างกายของแจจินคุ้นเคยดี กระพุ้งแก้มร่วมงานกับลิ้นในการตอดรัด พื้นผิวขรุขระของเพดานปากทั้งแข็งและอ่อนทำหน้าที่เพิ่มพูนความกระสัน ส่วนฟันกรามที่ทำอะไรได้ไม่มากก็แอบแกล้งกดกัด


  ซึ่งนั่นอาจเป็นผลมาจากความมันเขี้ยวของเจ้าตัวเองด้วย





  แดดร้อนเปรี้ยงแผดเผาดาดฟ้าเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของกัปตันหนุ่ม หยดเหงื่อของคนถูกกระทำเริ่มผุดออกมาตามรูขุมขนและเหนอะมากเป็นพิเศษในจุดที่ผิวหนังเปลือยเปล่าต้องแนบเนื้อกับอีกฝ่าย นิ้วเรียวทั้งสิบบีบเค้นนวดคลึงทั่วหว่างขานำพาอารมณ์ใคร่เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงจนคนด้านล่างแทบจะอยู่ไม่สุข


  แจจินเองก็ทนไม่ไหว ภาพในหัวที่แล่นไปไกลและเร็วกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้เขาต้องหยุดการกระทำของตัวเองกะทันหัน ใบหน้าเล็กผละออกจากของสำคัญมาซุกซบอยู่ที่จุดเดีียวกับตอนแรก เสียงครางที่แสดงออกถึงความทรมานแต่คนฟังได้ยินแล้วกลับยิ่งเสียวซ่านดังออกมาไม่ขาดสาย ร่างเล็กนอนขดตัวพร่ำเรียกชื่อคนรักเสียงกระเส่า อะไรเขาคิดอยู่ถูกเอ่ยออกมาอย่างไร้ซึ่งความกระดากอาย


  ก่อนจะตบท้ายด้วยเสียงสะอื้น



  “แจจิน”

  “ซึง-- ผ...ผมไม่ไหว” คนพูดจิกเล็บกับหน้าท้องแกร่งจนเป็นรอยแดง “ฮึก...ผมไม่ไหวแล้ว”

  “ฟังนะ คืนนี้ ชั้นจะอยู่กับนาย เราจะอยู่ด้วยกัน”

  “ผมคล-- คุณ ซึงฮยอน! ฮึ่ก ผ...ผมอยากให้คุณกอดผม” ประโยคหลังที่ฟังแทบไม่ได้ยินทำให้รู้ว่าแจจินพยายามกลั้นกดความรู้สึกตัวเองอย่างสุดความสามารถ

  “ชั้นจะกอดนาย แจจิน” เขากระซิบกลับบ้าง

  “อยากให้คุณเข้ามา...” แกนกายของซึงฮยอนถูกกุมแน่นด้วยมือที่สั่นระริก “ให้ผมเป็นของคุณ...”



  ถึงแม้อารมณ์จะยังค้างอยู่แต่ซึงฮยอนก็รีบลุกขึ้นไปจูบปลอบแจจิน และไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้อีกคนเป็นแบบนี้ เขารู้สึกไม่โอเคอย่างมากที่ต้องมาเห็นน้ำตาของชายที่ตนเองรักมากที่สุด



  “ผม ขอโทษ”



  น้ำเสียงรู้สึกผิดเล็ดลอดออกมาจากสองปากที่ยังคงประกบกัน





  กระดุมเชิ้ตฮาวายตัวบางถูกปลดออกสองสามเม็ด มือหนาแหวกผืนผ้าให้แยกห่างออกเผยผิวกายสีแทนอันน่าหลงใหล ซึงฮยอนประคองร่างของแจจินให้เขยิบขึ้นมานั่งบนตักแล้วจึงเริ่มต้นโลมเล้าเนื้อเนียนใต้ร่มผ้าตรงหน้า



  “กังวลอะไรอยู่ครับที่รัก” เขาเว้นจังหวะเงียบ ให้เวลาฝ่ายนั้นตัดสินใจ “ไหน เล่าให้ฟังได้มั้ย”



  ร่างบางเปลี่ยนมาโอบรอบคอซึงฮยอนแน่น หยุดร้องไห้แล้วแต่เนื้อตัวยังสั่นอยู่


  แจจินถอนหายใจ



  “จะได้มาช่วยกันหาทางออกไงครับ” ลิ้นอุ่นค่อย ๆ แต่งแต้มความชื้นให้ลำคอระหงอย่างอ่อนโยน

  “กลับมาบินในประเทศได้มั้ยครับซึงฮยอน” จากเมื่อครู่ คำพูดทุกพยางค์ของแจจินไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าเจือปนอยู่แม้แต่น้อย แต่ มันทำให้ซึงฮยอนหมดเรี่ยวแรงไปในทันทีหลังจากที่ได้ยิน “ไม่จากกันนาน ๆ แบบนั้นแล้วได้มั้ยครับ”







  ไม่รู้ซึงฮยอนจะเคยนึกสงสัยบ้างรึเปล่า...


  ว่าทำไมเวลาที่ SJ8221 เข้าเขตสนามบินอินชอน เจ้าหน้าที่ Tower Control ที่ติดต่อกับอากาศยานจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่อี แจจิน อยู่ทุกครั้ง







  แล้วก็ไม่รู้ว่าแจจินจะเคยนึกสงสัยบ้างรึเปล่า…


  ว่าทำไมเวลาที่ท่าอากาศยานทำการติดต่อกับเที่ยวบินที่ SJ8221 นักบิน PM จะต้องเป็นกัปตันซง ซึงฮยอน อยู่ทุกที







  “นายรู้มั้ยแจจิน” อ้อมกอดของทั้งคู่ถูกกระชับให้แน่นขึ้น “ว่าชั้นไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องลงจอดที่อินชอนมานานแค่ไหนแล้ว”

  “แล้วคุณรู้มั้ย ซึงฮยอน” คนตัวเล็กหยุดสูดน้ำมูก “ว่าผมทำงานควบสองกะบ่อยแค่ไหนตั้งแต่คุณเปลี่ยนไปบินระหว่างประเทศ”





  คู่รักเงียบกันไปได้สักพัก แล้วจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน



  “สรุปก็คือพวกเราเนี่ย ไม่เหมาะกับ แอล ดี อาร์ อย่างแรง”

  “หืม...” แจจินผละศีรษะออกมาจ้องหน้าซึงฮยอนด้วยความสงสัย ที่เขาพูดเมื่อกี๊คือศัพท์เฉพาะทาง หรืออะไร

  “Long-distance Relationship ไง”





  จูบอีกรอบ


  จูบ… ที่ปลุกให้พวกเขาตื่นตัวขึ้นมาอีกหน





  “อ๊ะ--” เจ้าของมือที่ถูกพาให้ไปยุ่งกับไอ้ตรงนั้นของกัปตันหนุ่มต่อร้องอุทานออกมาเบา ๆ

  “เรามันเหมาะกับแบบนี้” นักบินจอมเจ้าเล่ห์ถือวิสาสะชี้แนะเจ้าหน้าที่หอบังคับการบินว่าต้องใช้มือทำอะไรกับ ไอ้ตรงนั้น “เนอะ”

  “ทำไมคุณช้าอย่างนี้ซึงฮยอน ผมนึกว่าเสร็จไปแล้วซะอีก” ยิ้มยั่วยวนกวนประสาทปรากฏอยู่บนใบหน้าหวานได้วินาทีเดียวก็โดนปราบด้วยแรงลิ้นและฟันคม แจจินส่งเสียงชอบอกชอบใจ





  บทสนทนาแบบที่ทั้งสองใช้ด้วยกันตอนทำงานถูกนำมาล้อเลียนตลอดการเล่นรักครั้งนี้ คนที่ยังสวมเสื้อผ้าลองหยั่งเชิงขอในสิ่งที่เขาเคยพลั้งพูดไปก่อนหน้า ซึงฮยอนรีบส่ายหัวปฏิเสธด้วยท่าทีแสนใจร้าย



  “อดเปรี้ยวไว้กินหวานสิ” คนพูดทำหน้าง้อแฟน “หลังจากนี้ถ้ากลับมาบินแต่ในบ้าน เราสองคน ก็คงได้ทำกันทุกคืนอยู่แล้ว”



  ร่างบางทำทีเป็นมองต่ำซ่อนอาการเขิน 


  ซึ่งแท้จริงแล้วคือ เขาก็แค่อยากสังเกตการทำงานของมือตัวเอง กับปฏิกิริยาของไอ้ตรงนั้น


  หาอะไรเล่นหน่อยดีมั้ย...





  “กัปตัน ผมอยากเห็นภูเขาไฟปะทุ คุณ พาไปดูได้ใช่มั้ย” แจจินพูดเสียงชัดถ้อยชัดคำพลางเค้นขยี้ของในมือ

  “อะ…ครับ”

  “ระบุพิกัด ของอากาศยานด้วยสิครับ
  ซึงฮยอนอ่า...”




  ความสั่นกระเส่าในประโยคและจังหวะขย่มร่างกายจากคนด้านบนทำเอาสติของนักบินที่ปกติจะนิ่งมาก ๆ แตกเตลิดไปเรียบร้อย



  “จ...จะถึงแล้ว แจจ-- อ่า...” แขนแกร่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก แม้ไม่ได้สอดใส่แต่ทำไมหัวใจของเขาถึงเต้นรัวแรงไม่เป็นจังหวะได้ขนาดนี้ ภูเขาไฟปะทุ ที่ซึงฮยอนต้องพาแจจินไปดูเริ่มส่งสัญญาณของการใกล้ระเบิด กล้ามเนื้อที่เริ่มไม่รู้สึกและกระตุกเกร็งฉุกกระตุ้นให้นึกขึ้นได้ว่าครั้งล่าสุดที่ปลดปล่อยนั้นก็ผ่านมาเกือบสี่สัปดาห์แล้ว



  นี่ เขาไม่ได้มีอะไรกับแฟนมาตั้งเดือนนึงเลยเหรอ





  “ฮ...อะ ซึงฮยอน!” ชายหนุ่มก้มหน้าหลับตาอ้าปากรับเศษลาวาสีขาวขุ่นที่ทยอยพุ่งกระฉอกขึ้นด้านบน ของเหลวข้นไหลล้นออกมาตามปากทางขนาดจิ๋วที่ปลายยอดกลายเป็นภาพที่น่าดูที่สุดของวันสำหรับแจจิน “งือ... รักคุณจัง ซึงฮ-- อะ อ๊า”



  ขาทั้งสองที่รับน้ำหนักตัวทั้งหมดของคู่ขาไว้ยกขึ้นตั้งชันโดยไม่บอกกล่าวทำเอาร่างผอมบางกระเด้งตัวตาม เสียงกระซิบอันแหบพร่าต่อไปนี้เกิดขึ้นระหว่างที่รูรักด้านหลังของคนตัวเล็กถูกล่วงเกินอย่างฉับพลัน



  “คืนนี้ชั้นจะไม่ให้นายหลับ”

  “หงึ… จริงเหรอ”



  หากตกใจก็ไม่ใช่แจจิน เขาถามย้ำพร้อมรอยยิ้มลิงโลด แถมยังเลิกทำกริยาขัดขืนใส่อะไรก็ตามที่ซึงฮยอนใช้แยงเข้ามา



  “หนึ่งเดือนที่เว้นหายไป
  ชั้นจะชดใช้ให้ตั้งแต่ตะวันตกดินยันตะวันขึ้นเลย”











-
THE END
-