July 29, 2017

[OS] FTISLAND&CNBLUE 'The Bassist Story' (SHINJAE)




FTISLAND & CNBLUE Oneshot

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
The Bassist Story
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



Genre:    Crossband, Bromance
Pairing:   Lee Jungshin x Lee Jaejin
Rating:    PG-13



╰☆╮


╰☆╮







“ฮยอง จะไปไหนอะ”

“ขอชั้นแวะไปเช็คเครื่องดนตรีในห้องแปบนึง”

“อ่าๆ รีบมานะ ท้องผมเริ่มร้องละ”



อีกไม่กี่นาทีจองชินและเพื่อนร่วมค่ายอีกสี่ห้าคนจะไปกินเนื้อย่างด้วยกัน แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะกลับห้องซ้อมไปตรวจดูว่าเบสของตนเองถูกเก็บไว้อย่างดีแล้วหรือยัง



เสียงประตูเปิดทำเอาคนที่(แอบ)อยู่ในห้องสะดุ้งตกใจ คนที่เข้ามาใหม่ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน



“อ้าว แจจิน มาทำอะไรอยู่ในนี้”

“เอ่อ…” สีหน้าของคนที่มีความกังวลอยู่ในใจปรากฏฟ้องออกมาอย่างชัดแจ้ง



จองชินก็อยากจะชวนเพื่อนสนิทของเขาคนนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ แต่คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า



“เห้อ เรื่องนั้นอีกแล้วใช่มะ”

“อือ” แจจินพยักหน้าช้าๆ หลบสายตาร่างสูงที่กำลังจ้องเขาเขม็ง



จองชินเงยหน้ามองดูนาฬิกาบนฝาผนัง นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาข้าวเย็น คนข้างนอกน่าจะยังทนรอเขาได้อีกนิดนึง



“ชั้นขอนั่งด้วยนะ” มือเบสวงรุ่นน้องเดินมานั่งบนพื้นข้างๆแจจิน



“คราวนี้เป็นอะไรไหนบอกหมอซิ”



ไม่มีเสียงตอบรับ…



“นี่ เราเป็นเพื่อนกันมาจะสิบปีแล้ว ไม่มีอะไรที่นายไม่เคยบอกชั้น กะอีเรื่องแค่นี้นายจะอายอะไร”

“จองชิน ชั้น ไม่ได้อาย”

“อ่างั้นก็เล่ามาสิ เครียดอะไรอยู่เพื่อน”



เขารู้ว่าก่อนหน้านี้แจจินร้องไห้...

เขารู้ว่าหลายๆวันที่ผ่านมา แจจินเอาแต่ร้องไห้

ไม่อย่างงั้น ตาตี่ๆนั่นมันคงไม่ปูดบวมขนาดนี้



“ชั้น ยังคิดถึงเค้าอะ”

“ว่าแล้ว”

“ถ้านายรู้แล้วจะถามชั้นอีกทำไมเนี่ย” แจจินโวยวาย



เนี่ยแหละ อี แจจิน ผู้ที่เพิ่งเลิกรากับคนรักที่คบกันมานานถึงเจ็ดปี ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าอะไรทำให้เขาทั้งคู่หมดรักกัน เขาบอกกับจองชินแค่ว่า ตนไม่ได้เป็นฝ่ายบอกเลิก



“ก็หมอนั่นมันบอกว่าพวกนายยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงในคำถามนี้แฝงความรู้สึกลำไยผู้ชายขี้แงข้างๆ

“ก็เออ แต่มันไม่เหมือนกันปะวะ ตอนเป็นแฟนกับตอนเป็นเพื่อนอะ นายจะไปเข้าใจอะไรห้ะจองชิน”



ประโยคนี้เล่นเอาซะคนตัวสูงใบ้กิน แจจินกล้าพูดแบบนั้นก็เพราะจองชินยังไม่เคยมีแฟนแบบเป็นตัวเป็นตนจริงจังสักคน



“ชั้นคิดถึงตอนที่ เราอยู่ด้วยกัน ตอนที่เรา…”



คนที่ฟังอยู่รีบหันกลับไปมอง สีหน้าลุ้นเต็มที่ว่าแจจินกำลังจะพูดอะไร



“...จูบกัน”

“นี่ แจ๊จ”

“อะไร”

“จูบชั้นแทนสิ”



เขาคิดบ้าอะไรอยู่ถึงพูดออกไปแบบนั้น

คนได้ยินตอนนี้หน้าเหวอไปแล้ว



“นายจะบ้าเหรอจองชิน!”



ใช่ เขาบ้า

บ้าที่ยังแอบรักเพื่อนสนิทคนนี้มาได้ถึงเจ็ดปี

ซึ่งก็เป็นเวลาเท่ากันกับที่แจจินคบหาอยู่กับหมอนั่น



“ก็ มันอาจจะช่วยให้นายไม่ต้องเรียกร้องหามันอยู่แบบนี้ไง”



แจจินนั้นก็บ้าพอๆกับเขาแหละ เลิกกันไปตั้งเดือนนึงแล้ว ทำไมยังเอาแต่พร่ำเพ้อหาเจ้านั่นอยู่ได้



“จูบกันแบบเพื่อนไง ไม่ลองไม่รู้หรอกนะ”

“...”

“ตอนนายคบอยู่กับมันคงได้ดูดปากกันเป็นร้อยครั้งพันครั้ง ถึงตอนนี้นายอาจแค่อยากจูบ… แบบ แค่เหงาปาก เหงาลิ้น อะไรเทือกๆนั้นน่ะ”



อาจฟังดูหยาบคาย แต่สองคนนี้สนิทกันเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคำพูดแค่นี้



‘ก็จริง...’

“ว่าไง” จองชินเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ เขาทำทีเป็นไม่ได้คิดอะไร แต่ในใจนั้นโคตรคิด



‘รอมาตั้งนาน แม้ว่าตอนนั้นนายจะยังไม่ได้รักชั้น
แต่ตอนนี้ ชั้นจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่า เพื่อนคนนี้เนี่ยแหละที่อยู่เคียงข้างนายเสมอ’



แจจินหันมาสบตาเขา ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ

จองชินทึกทักเอาเองว่านั่นคือการตอบรับคำเชิญ เขาหลับตา ยื่นหน้าเข้าไปเร็วจนสองปากกระแทกกันเบาๆ จูบที่มาจากการแอบรักข้างเดียวถูกฝากประทับลงไปอย่างอ่อนโยนและยาวนาน

ด้วยบริบทหลายๆอย่างทำให้เขาไม่สามารถบอกรักอีกคนด้วยประโยคคำพูด แต่จองชินก็ได้ส่งความรู้สึกของตนเองออกไปจนหมดเกลี้ยงผ่านทางจุมพิตนี้ และที่สำคัญไปกว่านั้น…

แจจินเองก็รับรู้มัน



     ไม่ว่าโชคจะเข้าข้างเขาหรือไม่ อย่างน้อย เพื่อนคนนี้ก็ได้สารภาพความในใจทั้งหมดแล้ว



‘แจจิน ขอโทษนะถ้าชั้นจะ...’



     ทำเกินกว่าที่บอกไว้ ลิ้นอุ่นพยายามสอดแทรกริมฝีปากเข้าไป แจจินครางประท้วงออกมาเบาๆ ทีแรกจะไม่ยอม แต่สุดท้ายก็เปิดทางให้



‘นี่น่ะเหรอจองชิน จูบแบบเพื่อนของนาย’






ปัง!

“ฮยอง ผมหิวจะตายอยู่แล้ว ทำไมช้าจั---”





     ทันทีที่ได้ยินเสียงและรู้ว่าคนที่ผลักประตูห้องเข้ามาคือใคร จองชินรีบผละตัวเองออกด้วยความตกใจ ด้านแจจินก็เงิบจนนิ่งค้างไปแล้ว



“ซ...ซึงฮยอน!”



     คนนี้แหละ หมอนั่น ที่จองชินหมายถึง






- จบ -

July 28, 2017

[FANFIC/Chapter 04: ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก] FTISLAND&N.Flying 'Cloudy' (SEUNGJAEhyun)

CHAPTER 4     ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก












     “ทำไมวันนี้ดูแฮปปี้จังเลยล่ะครับ”
     “ก็...”
     “หืม”
     “ซึงฮยอน ชั้นมาคิดๆดูแล้ว เรื่องที่นายถามชั้นมาตลอดนั่นน่ะ”
     “พี่ครับ... อย่าบอกนะว่า”



     จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะที่ซึงฮยอนเฝ้าถามแจจินมาตั้งแต่ช่วงแรกๆของการติวชีวะ 




     พักหลังมานี้ แจจินเริ่มชวนซึงฮยอนไปเที่ยวด้วยกันบ่อยขึ้นโดยเจ้าตัวอ้างว่านี่เป็นช่วงหยุดยาวของมหาวิทยาลัย รวมถึงวันนี้ที่ทั้งสองมาเดินห้างด้วยกันเพราะคนชวนเบื่อบ้าน ระหว่างมาเดินหาอะไรอ่านในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แจจินที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาก็ถูกอีกคนสังเกตเห็นความผิดปกติ(ในทางที่ดี)นี้ได้




     “อื้อ ชั้นตกลง ชั้นยอมเป็นแฟนกับนายแล้ว”




     ซึงฮยอนดูเหมือนจะอึ้งสุดขีดกับประโยคนั้น




     “เอ่อ คือผม ไม่แน่ใจว่---” หัวใจของรุ่นน้องตัวสูงที่ตอนนี้เก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่แล้วต้องเต้นแรงมากขึ้นอีกเมื่อรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบมาตลอดห้าเดือนเขย่งตัวขึ้นมาจุ๊บปากเขาเบาๆ




     “ทีนี้ แน่ใจแล้วรึยังอะ” แจจินรีบถอยตัวกลับมา ก้มหน้าก้มตาซ่อนความเขิน




     ร้านหนังสือใหญ่ใจกลางห้างดูแคบลงมากในวินาทีนี้ ซึงฮยอนรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังลอยลิ่วอยู่ในอากาศ เขายังคงไม่เชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริง




     “พี่แจจินครับ” ร่างสูงปรี่เข้าไปกอดอีกคนที่ยังยืนหน้าแดงอยู่ แจจินไม่รีรอที่จะกอดตอบ




     กอดแรกของเรา… เกิดขึ้นในร้านหนังสือแหละ




     “ขอบคุณ ขอบคุณครับ”

     “นายร้องไห้เหรอ” แจจินคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่ไม่ได้เกิดจากอาการคัดจมูกดังมาจากคนที่ตนอยู่ในอ้อมกอด
     “ป...เปล่า” ไม่ทันขาดคำ เสียงสะอึกก็ดังขึ้นมาแทรกอีก
     “บ้าจริง อายคนหน่อยนี่เราอยู่นอกบ้านนะ”



     เหมือนจะเป็นคำดุ แต่คนที่ดุก็พูดไปขำไปเพราะพ่ายแพ้แก่ความน่าเอ็นดูของซึงฮยอน







     “ใครจะดูแลใครกันแน่ละเนี่ย”

     “โธ่ พี่ครับ ก็คนมันดีใจอะ”
     “อ่าๆ”
     “เอ่อ... แต่ว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่”



     พอได้ยินคำถามนี้ แจจินก็เงียบไปพักหนึ่ง




     “ซึงฮยอน ชั้นขอโทษที่ที่ผ่านมา...”




     สองร่างที่เดินจูงมือกันมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้านหนังสือหยุดฝีเท้าลง ตอนนี้พวกเขาอยู่กลางสวนสาธารณะบนดาดฟ้าของตัวห้าง เทศกาลดอกไม้ท้องถิ่นประจำสัปดาห์ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูโรแมนติกมากกว่าเดิมหลายเท่า แล้วไหนจะกลิ่นหอมหวานๆเกือบเลี่ยนและสีสันโทนชมพูส้มที่แจจินชอบ



     ใครจะไปคิดว่าทุกอย่างมันจะส่งเสริมกันขนาดนี้หลังจากที่เขาตอบตกลงคบกับซึงฮยอน



     คนที่ยังพูดไม่จบหันมาสบตากับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่ตนเพิ่งจะมอบจุ๊บเล็กๆน้อยๆให้ไป ในแววตาของแจจินมีคำขอโทษที่อีกคนรับรู้ได้




     “ชั้นรู้ตัวว่าชอบนายตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ชั้นยังไม่กล้าบอก”




     ซึงฮยอนดีใจแต่กลับยิ้มไม่ออก

     ตั้งแต่เดือนที่แล้วอย่างนั้นเหรอ...


     เขาก็รู้จักกับแจฮยอนเมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงที่ตัวเองคิดว่าแจจินคงไม่มีวันรักเขา




     “หวังว่านายจะยังรอชั้นอยู่นะ”




     ในน้ำเสียงที่ไม่รู้เรื่องราว ซึงฮยอนฟังแล้วรู้สึกจุกที่อกอย่างบอกไม่ถูก




     “ตั้งแต่เราพบกัน ผมไม่เคยเลิกรักพี่เลยแม้แต่วินาทีเดียว” เขาไม่ได้โกหก




     ด้วยบรรยากาศที่แสนจะเป็นใจ นี่เหมือนเป็นเดทแรก ในวันที่ทั้งคู่คบกันวันแรก ดังนั้น มันก็ควรจะมีอีกอย่างที่ต้องเกิดขึ้น เป็นครั้งแรก ด้วยเช่นกัน



     ไม่ใช่ซึงฮยอนคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้...




     “พี่ครับ”




     แจจินเงยหน้ามอง ศีรษะสวยค้างองศาไว้แบบนั้นเหมือนรู้ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้นตามมา ซึงฮยอนประหม่า เขาแอบกลัวว่าอีกคนจะไม่ประทับใจสิ่งที่เขากำลังจะมอบให้




     ‘ต้องทำได้ให้สิ เรารอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหนจำไม่ได้เหรอ’




     “ว่าไงล่ะ” แจจินส่งยิ้มแบบที่เคยเกือบฆ่าซึงฮยอนเมื่อวันนั้นในตอนที่ต่างคนต่างแนะนำตัวเอง แน่นอนว่าพออีกคนได้เห็น เขาก็แทบจะตายอีกรอบ




     เด็กหนุ่มหัวเราะเขินๆ เขาขอหลับตาลงแล้วซึมซับความรู้สึกทั้งหมดตรงนี้ผ่านอย่างอื่นแทน



     ท่ามกลางไม้ประดับนานาชนิด ละอองจากพัดลมไอน้ำของสวนลอยผ่านทั้งคู่ไป ร่างเล็กรู้สึกได้ถึงความเย็นที่กระทบใบหน้า แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอันแสนอบอุ่นบนริมฝีปาก



     ซึงฮยอนมอบจูบแรกของพวกเขาทั้งสองให้แก่อีกฝ่าย



     จูบที่เขารอมาเนิ่นนาน…
     จูบของคนที่รักกันจริงๆ…


     ผู้คนรอบตัวและกลิ่นหอมของดอกไม้ไม่เหลือความสำคัญอีกต่อไป แจจินรับเอาความอ่อนโยนทั้งหมดที่ซึงฮยอนส่งให้เขาผ่านทางจุมพิต ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ไม่มีใครอยากละตัวเองออกจากจุดนี้ พวกเขาตะโกนบอกรักกันในใจ ใช้น้ำหนักของการกดประทับเป็นสื่อกลางถ่ายทอดแทนคำพูด


     ถึงช่วงที่ต้องพักรับอากาศ หน้าผากและปลายจมูกของทั้งคู่ยังแนบชนกันอยู่ ต่างคนต่างหัวเราะให้กับความรู้สึกแสนยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้น ไม่นานนัก ริมฝีปากคู่เดิมก็ประกบกันอีกครั้ง


     เท่าไหร่ก็ไม่พอ ทั้งสองต่างโหยหาสัมผัสของกันและกัน...


     ซึงฮยอนแสดงกริยาบางอย่างเป็นเชิงขออนุญาตให้ตัวเองได้เข้าไปกวาดรับรสหวานในโพรงปากนั้น แจจินไม่ขัดขืนอะไร ปล่อยให้อีกคนได้สำรวจทุกอย่างตามปรารถนา


     จากที่บริเวณนี้มีคนเดินชมสวนอยู่หลายสิบคน ตอนนี้ต่างพากันเดินหลบไปยังโซนอื่นๆ ส่วนคู่รักที่ยืนจูบกันอยู่นานสองนานก็ทำได้แค่กล่าวขอโทษทุกคนในใจสำหรับความเห็นแก่ตัวในครั้งนี้



     ‘มันดีมาก มากที่สุดในชีวิต’ ซึงฮยอนคิด ขณะก้มหน้ามองอีกคนที่หลบตาเขาอยู่เพราะความเขินอาย



     “แจจิน...”



     แล้วแจจินก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าสวยกัดริมฝีปากล่างไว้เกือบแน่น สายตาหวานๆที่ส่งมาหาซึงฮยอนทำให้เขาอยากจะจับผู้ชายร่างบางคนนี้ขังไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ปล่อยให้ออกไปทำตัวยั่วยวนแบบนั้นกับใครอีก



     “หัวใจของผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมาจากตัว”
     “ของชั้นก็เหมือนกัน”












     ‘นายมีบางอย่างที่ปิดบังชั้นอยู่ ซึงฮยอน
     แล้วชั้นก็รู้ด้วย ว่ามันคืออะไร’



     สายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆจดจ้องไปที่สเวตเตอร์บนหน้าตัก หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์มาส่ง คนที่ให้เสื้อตัวนี้กับแจจินก็รีบกลับบ้านไปเนื่องจากต้องทบทวนเนื้อหาสำหรับการสอบย่อยเก็บคะแนนวันพรุ่งนี้


     ตอนนี้ ก็เหลือแต่บุคคลที่อยู่ในสถานะ แฟน ของซึงฮยอน
     กับของขวัญครบรอบ 1 เดือนของเขา



     “นายไม่ได้เปลี่ยนไป แต่นายแปลกไป” ระหว่างที่นั่งเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง แจจินพูดกับต้นไม้ใหญ่ข้างนอก



     มันหมายความว่าอะไร
     ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่แปลกไป?


     สิ่งที่ซึงฮยอนปฏิบัติต่อแจจินมันเหมือนกับวันแรกที่คบกันทุกอย่าง อาจดีและมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่หนึ่งสิ่งที่แจจินสังเกตได้คือปฏิกิริยาแปลกๆเวลาเขาสองคนคุยเรื่องบางเรื่องกัน


     อย่างเรื่องที่โรงเรียน






     ‘เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่าอะไรที่โรงเรียนให้ฟังเลยนะ น่าเบื่อเหรอ’



     ผมเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซึงฮยอนหลังได้ยินคำถามนั้น



     ‘ก็ เหมือนเดิมนะครับ ไม่มีอะไรพิเศษเลย’
     ‘อย่างเรื่องที่นายได้เป็นคนเดินนำขบวนพาเหรดวันกีฬาก็ไม่พิเศษเหรอ’
     ‘อ๋อ นั่นก็ เอ่อ พี่รู้ได้ยังไงครับ’
     ‘นายไม่เคยบอกชั้น คนอื่นก็เลยบอกให้แทน’



     ทำไมถึงเงียบล่ะ



     ‘อยากให้ไปดูมั้ย วันนั้น’
     ‘ไม่เป็นไรครับ!’



     การได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วทำให้ผมเหวอไปนิดนึง



     ‘เอ่อ คือว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรมากน่ะ อีกอย่าง พาเหรดมันเดินแปบเดียวเอง ขบวนของรุ่นผมก็ไม่ใช่ไฮไลท์’
     ‘อ่าๆ เข้าใจละ แหม อย่าให้รู้นะว่าแอบซุกใครไว้ที่นั่น ทำเป็นรีบบอกไม่ให้ชั้นไป’



     ผมล้อเล่น


     แต่ซึงฮยอนหน้าซีด






     จนเมื่อช่วงหลังจากที่วันกีฬาโรงเรียนเพิ่งผ่านไปได้ไปนาน…






     ‘ในไอจีนายมีรุ่นน้องแท็กรูปที่ถ่ายกับนายมาเยอะมากเลยนะ’
     ‘ฮ่ะๆ ปกติแหละ คนมันฮอต แต่ถ้าไม่ชอบก็บอกนะ ผมจะได้ไปบอกให้เขาลบออก’
     ‘ไม่เป็นไรหรอก ถ้านายยังมีแค่ชั้นคนเดียว ชั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวงี่เง่าแบบนั้น’
     ‘...’
     ‘ต่อให้นายมีใครอื่นจริงๆ ชั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวงี่เง่า’
     ‘เปลี่ยนเรื่องคุยมั้ยครับ’



     ถัดจากตรงนี้ ตลอดทั้งวันซึงฮยอนก็แทบจะไม่คุยเล่นหยอกล้อกับผมเลย


     มันมีอะไรอีกหลายๆอย่าง ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง
     อย่างไรก็ตาม รอให้เวลาพิสูจน์ให้ก็แล้วกัน


     ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก ถ้าหากวันนั้นมันมาถึงจริงๆ
     ...วันที่เขาหมดรักผมแล้วน่ะ












     “พี่ครับ เราคบกันมาได้กี่ชั่วโมงแล้วนะ”
     “โอย ชั้นขอจำแค่วันที่ก็พอ อย่าให้ต้องถึงขั้นจับเวลาเลย”



     บางครั้งแจจินก็ต้องแกล้งแสดงท่าทีรำคาญใส่ซึงฮยอนบ้าง เขาจะได้เลิกทำตัวเป็นเด็กสักที แต่มันไม่เคยได้ผลเลย ยิ่งอีกคนหงุดหงิด อีกคนก็ยิ่งชอบใจ



     ‘ทำใจซะเถอะ ถ้าคิดจะคบเด็กน่ะ ฮ่าๆ’ เสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของแจจินดังขึ้นมาในหัว



     “กำลังด่าผมในใจอยู่ใช่มะ”
     “...”
     “ซึงฮยอน ทำไมนายไม่รู้จักโตสักที” เด็กบ้าทำเสียงล้อเลียนประโยคที่เขามักพูดบ่อยๆ



     ถ้าไม่ติดว่าคนพูดกำลังหาอะไรกินอยู่ในห้องครัวนะ แจจินอาจจะง้างเท้าถีบยอดหน้าซึงฮยอนไปแล้ว


     อันนี้เขาก็ทำอยู่บ่อยๆเหมือนกัน


     ในบ่ายวันอาทิตย์ที่แสนน่าเบื่อของแจจิน ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาชวนซึงฮยอนมานั่งอ่านหนังสือที่บ้าน เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุยกันไม่ให้ชีวิตดูเนือยไปมากกว่านี้ ด้านอีกคนก็ตอบตกลงด้วยเหตุผลว่า จะมากินข้าวที่แฟนตัวเองทำ



     “นี่ พี่ครับ ของเหลือบางอย่างจากวันรวมญาติเนี่ย ทิ้งๆไปหน่อยก็ดีนะ จะเน่าอยู่แล้ว”
     “อ้าว ก็ชั้นเหลือไว้ให้นายกินไง เห็นว่าเป็นพวก Decomposer ไม่ใช่หรอ นี่หวังดีนะเนี่ย ถ้าไม่เน่าก็ไม่ให้กินหรอก”
     “โอ้โห ไปต่อไม่ถูกตั้งแต่ที่ว่าผมเป็นพวกย่อยสลายอินทรียสารแล้ว”



     อดีตติวเตอร์ชีวะหัวเราะออกมาเสียงดัง นานๆทีแจจินจะได้แหย่ซึงฮยอนกลับบ้าง



     “เหลืออะไรที่กินได้จริงๆบ้างล่ะ”
     “ก็มีพวกของหมักๆอย่าง หัวไชเท้า กิมจิ แล้วก็มีเนื้ออะไรไม่รู้อีกอย่างนึง แต่ของต้มผมไม่กล้ากินแล้ว...”
     “อ่าฮะ ก็มีตั้งเยอะนี่”



     ซึงฮยอนทำหน้ามุ่ย เขาอุตส่าห์แบกกระเพาะที่ว่างเปล่ามาถึงนี่แต่ก็ต้องฝันสลายที่ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแจจิน



     “จะไม่ทำให้จริงๆเหรอ”
     “โทษทีนะ ขี้เกียจ” เจ้าของบ้านยังคงไม่มีการใจอ่อนใดๆ
     “โถ่ว พี่อะ ใจร้ายสุด แฟนใครวะ เห้อ หิวโว่ย!!!” เด็กบ้าเริ่มโวยวายเพราะโมโหหิว



     ‘ดูท่าจะหิวมากจริงๆแฮะ...’ แจจินเริ่มรู้สึกผิด



     ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟายาวกำลังจะลุกออกไปทำกับข้าวให้ซึงฮยอน แต่แล้วก็ถูกแรงหนึ่งผลักเขากลับลงไปนอนเหมือนเดิม



     “โอ๊ะ! ซึงฮยอน นายจะทำอะไร”



     แรงผลักจากคนตัวใหญ่อย่างซึงฮยอนนั้นช่างไม่สัมพันธ์กันกับร่างผอมๆของแจจิน เขาเจ็บที่ไหล่เล็กน้อยแต่ไม่ว่าอะไรหรอกเพราะอีกคนกำลังหิวข้าวมากๆ แต่ที่ไม่โอเคคือ ซึงฮยอนทำแบบนี้ทำไม



     “ผมไม่กินแล้วก็ได้ ข้าวน่ะ”



     สายตาของซึงฮยอนตอนนี้ไม่เหมือนคนโมโหหิวแล้ว
     แต่ เหมือนคนที่ หิว อย่างอื่นมากกว่า



     “ซ...ซึงฮยอน ไม่...” ร่างบางถูกคร่อมด้วยอีกคนอย่างรวดเร็ว ซึงฮยอนก้มหน้าเข้าซุกไซ้ที่คอและหน้าอกของแจจินอย่างไร้ความทะนุถนอม มือหนาพยายามเลิกเสื้อของคนที่อยู่ภายใต้ขึ้นเผยให้เห็นหน้าท้องเนียนเลยไปจนถึงราวนม



     เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


     แจจินดิ้นสุดแรง แต่ก็ไม่อาจห้ามซึงฮยอนที่กำลังเคลื่อนตัวลงไปยังด้านล่างเรื่อยๆ ขณะที่ปากลากถูไปบนผิวขาวรอบๆสะดือ มือสองข้างก็คลำหาซิปกางเกงหมายจะปลดมันออก ร่างที่ถูกกระทำอยู่ตอนนี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ซึงฮยอนทำให้แจจินร้องไห้...ด้วยความโกรธและเจ็บปวดใจ



     “ซึงฮยอน!!!” อาศัยจังหวะที่อีกคนเผลอ แจจินรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไปไว้ที่ขาข้างหนึ่งแล้วออกแรงถีบคนที่ปลายโซฟาจนร่วงลงไปกระแทกพื้น ซึงฮยอนดูเหมือนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าของแจจินที่เต็มไปด้วยน้ำตา “ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!!!”



     จากคู่รักที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย ตอนนี้คนที่ซึงฮยอนใช้เวลาจีบกว่าห้าเดือนเพิ่งจะตะโกนไล่เขา


     เป็นครั้งแรก


     ด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวที่สุด



     “พ...พี่ครับ ผม... ผมขอโทษ”



     คำขอโทษที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบหลุดออกมาจากปากของซึงฮยอนอย่างยากลำบาก แจจินที่ตอนนี้โกรธจัดจนไม่ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่สามารถอ่านปากของอีกคนได้ ร่างบนโซฟาหลับตาร้องไห้หนักจนสั่นไปทั้งตัว


     ซึงฮยอนช็อคกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขารีบลุกขึ้นจะเข้าไปกอดร่างนั้นไว้แต่แจจินก็ยกมือป้องปัดออก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดร้องไห้



     “ได้โปรด… ออกไป”



     ร่างสูงถอยออกมา เขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีก(ในตอนนี้) ซึงฮยอนขี้ขลาดเกินกว่าจะเอ่ยปากขอโทษแจจินอีกครั้ง สองเท้าเร่งก้าวออกไปจากบ้าน



     “โถ่เว่ย! แม่ง!” เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ถูกสตาร์ท ซึงฮยอนเบิ้ลเครื่องดังลั่นอย่างไร้มารยาทก่อนขี่ออกไปด้วยความเร็วที่สูงกว่าปกติ


     ส่วนแจจินเมื่อรู้ว่าซึงฮยอนขี่รถออกไปไกลแล้วก็ปล่อยโฮออกมาอย่างบ้าคลั่ง


     อย่าถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง
     เพราะตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน






     น้ำตาเม็ดแรกของพี่แจจิน ที่เกิดจากความชั่วของผมล้วนๆ…


     แต่


     ทีแรก ผมก็อดที่จะโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองไม่ได้


     จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่า มันไม่มีเหตุผลที่แจจินจะปฏิเสธผมทั้งๆที่เรารักกัน


     ผมดูออก ว่าที่เขาไล่ผมออกจากมาบ้านนั้นไม่ใช่เพราะว่าตกใจ
     หรือไม่พร้อม


     แต่เป็นเพราะเขายัง ไม่ลืม ใครบางคนเสียมากกว่า


     จากความรู้สึกผิด ตอนนี้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นโทสะ ซึงฮยอนเร่งความเร็วรถจนเข็มไมล์แตะหลักร้อย เขาอยากไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด






     ทันทีที่เครื่องยนต์ดับสนิท เจ้าของรถรีบลงไปกดออดหน้าบ้านหลังหนึ่งอย่างรัวๆโดยไม่กลัวว่าคนในบ้านจะออกมาด่า



     ‘วันนี้วันหยุด พวกเขาคงไม่อยู่บ้านหรอก’



     เสียงออดที่แสนหนวกหูเงียบลงเมื่อผู้มาเยี่ยมเห็นร่างของเจ้าบ้านเปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม



     “ฮยอง มีอะไ---”
     “แจฮยอน พ่อแม่อยู่บ้านมั้ย”
     “ไม่ฮะ”



     พอได้รับคำตอบอย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ ซึงฮยอนที่กำลังอารมณ์ร้อนเอื้อมตัวไปจับมือแจฮยอนแล้วกึ่งจูงกึ่งฉุดร่างเล็กเข้าบ้าน


     และไม่ออกมาอีกเลยจนถึงตอนเช้าของวันจันทร์












-  To be continued  -