July 28, 2017

[FANFIC/Chapter 04: ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก] FTISLAND&N.Flying 'Cloudy' (SEUNGJAEhyun)

CHAPTER 4     ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก












     “ทำไมวันนี้ดูแฮปปี้จังเลยล่ะครับ”
     “ก็...”
     “หืม”
     “ซึงฮยอน ชั้นมาคิดๆดูแล้ว เรื่องที่นายถามชั้นมาตลอดนั่นน่ะ”
     “พี่ครับ... อย่าบอกนะว่า”



     จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะที่ซึงฮยอนเฝ้าถามแจจินมาตั้งแต่ช่วงแรกๆของการติวชีวะ 




     พักหลังมานี้ แจจินเริ่มชวนซึงฮยอนไปเที่ยวด้วยกันบ่อยขึ้นโดยเจ้าตัวอ้างว่านี่เป็นช่วงหยุดยาวของมหาวิทยาลัย รวมถึงวันนี้ที่ทั้งสองมาเดินห้างด้วยกันเพราะคนชวนเบื่อบ้าน ระหว่างมาเดินหาอะไรอ่านในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แจจินที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาก็ถูกอีกคนสังเกตเห็นความผิดปกติ(ในทางที่ดี)นี้ได้




     “อื้อ ชั้นตกลง ชั้นยอมเป็นแฟนกับนายแล้ว”




     ซึงฮยอนดูเหมือนจะอึ้งสุดขีดกับประโยคนั้น




     “เอ่อ คือผม ไม่แน่ใจว่---” หัวใจของรุ่นน้องตัวสูงที่ตอนนี้เก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่แล้วต้องเต้นแรงมากขึ้นอีกเมื่อรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบมาตลอดห้าเดือนเขย่งตัวขึ้นมาจุ๊บปากเขาเบาๆ




     “ทีนี้ แน่ใจแล้วรึยังอะ” แจจินรีบถอยตัวกลับมา ก้มหน้าก้มตาซ่อนความเขิน




     ร้านหนังสือใหญ่ใจกลางห้างดูแคบลงมากในวินาทีนี้ ซึงฮยอนรู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองกำลังลอยลิ่วอยู่ในอากาศ เขายังคงไม่เชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริง




     “พี่แจจินครับ” ร่างสูงปรี่เข้าไปกอดอีกคนที่ยังยืนหน้าแดงอยู่ แจจินไม่รีรอที่จะกอดตอบ




     กอดแรกของเรา… เกิดขึ้นในร้านหนังสือแหละ




     “ขอบคุณ ขอบคุณครับ”

     “นายร้องไห้เหรอ” แจจินคิดว่าตัวเองได้ยินเสียงสูดน้ำมูกที่ไม่ได้เกิดจากอาการคัดจมูกดังมาจากคนที่ตนอยู่ในอ้อมกอด
     “ป...เปล่า” ไม่ทันขาดคำ เสียงสะอึกก็ดังขึ้นมาแทรกอีก
     “บ้าจริง อายคนหน่อยนี่เราอยู่นอกบ้านนะ”



     เหมือนจะเป็นคำดุ แต่คนที่ดุก็พูดไปขำไปเพราะพ่ายแพ้แก่ความน่าเอ็นดูของซึงฮยอน







     “ใครจะดูแลใครกันแน่ละเนี่ย”

     “โธ่ พี่ครับ ก็คนมันดีใจอะ”
     “อ่าๆ”
     “เอ่อ... แต่ว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่”



     พอได้ยินคำถามนี้ แจจินก็เงียบไปพักหนึ่ง




     “ซึงฮยอน ชั้นขอโทษที่ที่ผ่านมา...”




     สองร่างที่เดินจูงมือกันมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากร้านหนังสือหยุดฝีเท้าลง ตอนนี้พวกเขาอยู่กลางสวนสาธารณะบนดาดฟ้าของตัวห้าง เทศกาลดอกไม้ท้องถิ่นประจำสัปดาห์ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูโรแมนติกมากกว่าเดิมหลายเท่า แล้วไหนจะกลิ่นหอมหวานๆเกือบเลี่ยนและสีสันโทนชมพูส้มที่แจจินชอบ



     ใครจะไปคิดว่าทุกอย่างมันจะส่งเสริมกันขนาดนี้หลังจากที่เขาตอบตกลงคบกับซึงฮยอน



     คนที่ยังพูดไม่จบหันมาสบตากับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่ตนเพิ่งจะมอบจุ๊บเล็กๆน้อยๆให้ไป ในแววตาของแจจินมีคำขอโทษที่อีกคนรับรู้ได้




     “ชั้นรู้ตัวว่าชอบนายตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ชั้นยังไม่กล้าบอก”




     ซึงฮยอนดีใจแต่กลับยิ้มไม่ออก

     ตั้งแต่เดือนที่แล้วอย่างนั้นเหรอ...


     เขาก็รู้จักกับแจฮยอนเมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงที่ตัวเองคิดว่าแจจินคงไม่มีวันรักเขา




     “หวังว่านายจะยังรอชั้นอยู่นะ”




     ในน้ำเสียงที่ไม่รู้เรื่องราว ซึงฮยอนฟังแล้วรู้สึกจุกที่อกอย่างบอกไม่ถูก




     “ตั้งแต่เราพบกัน ผมไม่เคยเลิกรักพี่เลยแม้แต่วินาทีเดียว” เขาไม่ได้โกหก




     ด้วยบรรยากาศที่แสนจะเป็นใจ นี่เหมือนเป็นเดทแรก ในวันที่ทั้งคู่คบกันวันแรก ดังนั้น มันก็ควรจะมีอีกอย่างที่ต้องเกิดขึ้น เป็นครั้งแรก ด้วยเช่นกัน



     ไม่ใช่ซึงฮยอนคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้...




     “พี่ครับ”




     แจจินเงยหน้ามอง ศีรษะสวยค้างองศาไว้แบบนั้นเหมือนรู้ว่าจะมีเกิดอะไรขึ้นตามมา ซึงฮยอนประหม่า เขาแอบกลัวว่าอีกคนจะไม่ประทับใจสิ่งที่เขากำลังจะมอบให้




     ‘ต้องทำได้ให้สิ เรารอช่วงเวลานี้มานานแค่ไหนจำไม่ได้เหรอ’




     “ว่าไงล่ะ” แจจินส่งยิ้มแบบที่เคยเกือบฆ่าซึงฮยอนเมื่อวันนั้นในตอนที่ต่างคนต่างแนะนำตัวเอง แน่นอนว่าพออีกคนได้เห็น เขาก็แทบจะตายอีกรอบ




     เด็กหนุ่มหัวเราะเขินๆ เขาขอหลับตาลงแล้วซึมซับความรู้สึกทั้งหมดตรงนี้ผ่านอย่างอื่นแทน



     ท่ามกลางไม้ประดับนานาชนิด ละอองจากพัดลมไอน้ำของสวนลอยผ่านทั้งคู่ไป ร่างเล็กรู้สึกได้ถึงความเย็นที่กระทบใบหน้า แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยสัมผัสอันแสนอบอุ่นบนริมฝีปาก



     ซึงฮยอนมอบจูบแรกของพวกเขาทั้งสองให้แก่อีกฝ่าย



     จูบที่เขารอมาเนิ่นนาน…
     จูบของคนที่รักกันจริงๆ…


     ผู้คนรอบตัวและกลิ่นหอมของดอกไม้ไม่เหลือความสำคัญอีกต่อไป แจจินรับเอาความอ่อนโยนทั้งหมดที่ซึงฮยอนส่งให้เขาผ่านทางจุมพิต ดวงตาคู่สวยหลับพริ้ม ไม่มีใครอยากละตัวเองออกจากจุดนี้ พวกเขาตะโกนบอกรักกันในใจ ใช้น้ำหนักของการกดประทับเป็นสื่อกลางถ่ายทอดแทนคำพูด


     ถึงช่วงที่ต้องพักรับอากาศ หน้าผากและปลายจมูกของทั้งคู่ยังแนบชนกันอยู่ ต่างคนต่างหัวเราะให้กับความรู้สึกแสนยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้น ไม่นานนัก ริมฝีปากคู่เดิมก็ประกบกันอีกครั้ง


     เท่าไหร่ก็ไม่พอ ทั้งสองต่างโหยหาสัมผัสของกันและกัน...


     ซึงฮยอนแสดงกริยาบางอย่างเป็นเชิงขออนุญาตให้ตัวเองได้เข้าไปกวาดรับรสหวานในโพรงปากนั้น แจจินไม่ขัดขืนอะไร ปล่อยให้อีกคนได้สำรวจทุกอย่างตามปรารถนา


     จากที่บริเวณนี้มีคนเดินชมสวนอยู่หลายสิบคน ตอนนี้ต่างพากันเดินหลบไปยังโซนอื่นๆ ส่วนคู่รักที่ยืนจูบกันอยู่นานสองนานก็ทำได้แค่กล่าวขอโทษทุกคนในใจสำหรับความเห็นแก่ตัวในครั้งนี้



     ‘มันดีมาก มากที่สุดในชีวิต’ ซึงฮยอนคิด ขณะก้มหน้ามองอีกคนที่หลบตาเขาอยู่เพราะความเขินอาย



     “แจจิน...”



     แล้วแจจินก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าสวยกัดริมฝีปากล่างไว้เกือบแน่น สายตาหวานๆที่ส่งมาหาซึงฮยอนทำให้เขาอยากจะจับผู้ชายร่างบางคนนี้ขังไว้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ปล่อยให้ออกไปทำตัวยั่วยวนแบบนั้นกับใครอีก



     “หัวใจของผมเต้นแรงจนจะหลุดออกมาจากตัว”
     “ของชั้นก็เหมือนกัน”












     ‘นายมีบางอย่างที่ปิดบังชั้นอยู่ ซึงฮยอน
     แล้วชั้นก็รู้ด้วย ว่ามันคืออะไร’



     สายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆจดจ้องไปที่สเวตเตอร์บนหน้าตัก หลังจากขี่มอเตอร์ไซค์มาส่ง คนที่ให้เสื้อตัวนี้กับแจจินก็รีบกลับบ้านไปเนื่องจากต้องทบทวนเนื้อหาสำหรับการสอบย่อยเก็บคะแนนวันพรุ่งนี้


     ตอนนี้ ก็เหลือแต่บุคคลที่อยู่ในสถานะ แฟน ของซึงฮยอน
     กับของขวัญครบรอบ 1 เดือนของเขา



     “นายไม่ได้เปลี่ยนไป แต่นายแปลกไป” ระหว่างที่นั่งเหม่ออกไปนอกหน้าต่าง แจจินพูดกับต้นไม้ใหญ่ข้างนอก



     มันหมายความว่าอะไร
     ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่แปลกไป?


     สิ่งที่ซึงฮยอนปฏิบัติต่อแจจินมันเหมือนกับวันแรกที่คบกันทุกอย่าง อาจดีและมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่หนึ่งสิ่งที่แจจินสังเกตได้คือปฏิกิริยาแปลกๆเวลาเขาสองคนคุยเรื่องบางเรื่องกัน


     อย่างเรื่องที่โรงเรียน






     ‘เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่าอะไรที่โรงเรียนให้ฟังเลยนะ น่าเบื่อเหรอ’



     ผมเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซึงฮยอนหลังได้ยินคำถามนั้น



     ‘ก็ เหมือนเดิมนะครับ ไม่มีอะไรพิเศษเลย’
     ‘อย่างเรื่องที่นายได้เป็นคนเดินนำขบวนพาเหรดวันกีฬาก็ไม่พิเศษเหรอ’
     ‘อ๋อ นั่นก็ เอ่อ พี่รู้ได้ยังไงครับ’
     ‘นายไม่เคยบอกชั้น คนอื่นก็เลยบอกให้แทน’



     ทำไมถึงเงียบล่ะ



     ‘อยากให้ไปดูมั้ย วันนั้น’
     ‘ไม่เป็นไรครับ!’



     การได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วทำให้ผมเหวอไปนิดนึง



     ‘เอ่อ คือว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรมากน่ะ อีกอย่าง พาเหรดมันเดินแปบเดียวเอง ขบวนของรุ่นผมก็ไม่ใช่ไฮไลท์’
     ‘อ่าๆ เข้าใจละ แหม อย่าให้รู้นะว่าแอบซุกใครไว้ที่นั่น ทำเป็นรีบบอกไม่ให้ชั้นไป’



     ผมล้อเล่น


     แต่ซึงฮยอนหน้าซีด






     จนเมื่อช่วงหลังจากที่วันกีฬาโรงเรียนเพิ่งผ่านไปได้ไปนาน…






     ‘ในไอจีนายมีรุ่นน้องแท็กรูปที่ถ่ายกับนายมาเยอะมากเลยนะ’
     ‘ฮ่ะๆ ปกติแหละ คนมันฮอต แต่ถ้าไม่ชอบก็บอกนะ ผมจะได้ไปบอกให้เขาลบออก’
     ‘ไม่เป็นไรหรอก ถ้านายยังมีแค่ชั้นคนเดียว ชั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตัวงี่เง่าแบบนั้น’
     ‘...’
     ‘ต่อให้นายมีใครอื่นจริงๆ ชั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวงี่เง่า’
     ‘เปลี่ยนเรื่องคุยมั้ยครับ’



     ถัดจากตรงนี้ ตลอดทั้งวันซึงฮยอนก็แทบจะไม่คุยเล่นหยอกล้อกับผมเลย


     มันมีอะไรอีกหลายๆอย่าง ที่ทำให้ผมมั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง
     อย่างไรก็ตาม รอให้เวลาพิสูจน์ให้ก็แล้วกัน


     ผมไม่รั้งเขาไว้หรอก ถ้าหากวันนั้นมันมาถึงจริงๆ
     ...วันที่เขาหมดรักผมแล้วน่ะ












     “พี่ครับ เราคบกันมาได้กี่ชั่วโมงแล้วนะ”
     “โอย ชั้นขอจำแค่วันที่ก็พอ อย่าให้ต้องถึงขั้นจับเวลาเลย”



     บางครั้งแจจินก็ต้องแกล้งแสดงท่าทีรำคาญใส่ซึงฮยอนบ้าง เขาจะได้เลิกทำตัวเป็นเด็กสักที แต่มันไม่เคยได้ผลเลย ยิ่งอีกคนหงุดหงิด อีกคนก็ยิ่งชอบใจ



     ‘ทำใจซะเถอะ ถ้าคิดจะคบเด็กน่ะ ฮ่าๆ’ เสียงเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของแจจินดังขึ้นมาในหัว



     “กำลังด่าผมในใจอยู่ใช่มะ”
     “...”
     “ซึงฮยอน ทำไมนายไม่รู้จักโตสักที” เด็กบ้าทำเสียงล้อเลียนประโยคที่เขามักพูดบ่อยๆ



     ถ้าไม่ติดว่าคนพูดกำลังหาอะไรกินอยู่ในห้องครัวนะ แจจินอาจจะง้างเท้าถีบยอดหน้าซึงฮยอนไปแล้ว


     อันนี้เขาก็ทำอยู่บ่อยๆเหมือนกัน


     ในบ่ายวันอาทิตย์ที่แสนน่าเบื่อของแจจิน ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาชวนซึงฮยอนมานั่งอ่านหนังสือที่บ้าน เพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุยกันไม่ให้ชีวิตดูเนือยไปมากกว่านี้ ด้านอีกคนก็ตอบตกลงด้วยเหตุผลว่า จะมากินข้าวที่แฟนตัวเองทำ



     “นี่ พี่ครับ ของเหลือบางอย่างจากวันรวมญาติเนี่ย ทิ้งๆไปหน่อยก็ดีนะ จะเน่าอยู่แล้ว”
     “อ้าว ก็ชั้นเหลือไว้ให้นายกินไง เห็นว่าเป็นพวก Decomposer ไม่ใช่หรอ นี่หวังดีนะเนี่ย ถ้าไม่เน่าก็ไม่ให้กินหรอก”
     “โอ้โห ไปต่อไม่ถูกตั้งแต่ที่ว่าผมเป็นพวกย่อยสลายอินทรียสารแล้ว”



     อดีตติวเตอร์ชีวะหัวเราะออกมาเสียงดัง นานๆทีแจจินจะได้แหย่ซึงฮยอนกลับบ้าง



     “เหลืออะไรที่กินได้จริงๆบ้างล่ะ”
     “ก็มีพวกของหมักๆอย่าง หัวไชเท้า กิมจิ แล้วก็มีเนื้ออะไรไม่รู้อีกอย่างนึง แต่ของต้มผมไม่กล้ากินแล้ว...”
     “อ่าฮะ ก็มีตั้งเยอะนี่”



     ซึงฮยอนทำหน้ามุ่ย เขาอุตส่าห์แบกกระเพาะที่ว่างเปล่ามาถึงนี่แต่ก็ต้องฝันสลายที่ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแจจิน



     “จะไม่ทำให้จริงๆเหรอ”
     “โทษทีนะ ขี้เกียจ” เจ้าของบ้านยังคงไม่มีการใจอ่อนใดๆ
     “โถ่ว พี่อะ ใจร้ายสุด แฟนใครวะ เห้อ หิวโว่ย!!!” เด็กบ้าเริ่มโวยวายเพราะโมโหหิว



     ‘ดูท่าจะหิวมากจริงๆแฮะ...’ แจจินเริ่มรู้สึกผิด



     ร่างที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟายาวกำลังจะลุกออกไปทำกับข้าวให้ซึงฮยอน แต่แล้วก็ถูกแรงหนึ่งผลักเขากลับลงไปนอนเหมือนเดิม



     “โอ๊ะ! ซึงฮยอน นายจะทำอะไร”



     แรงผลักจากคนตัวใหญ่อย่างซึงฮยอนนั้นช่างไม่สัมพันธ์กันกับร่างผอมๆของแจจิน เขาเจ็บที่ไหล่เล็กน้อยแต่ไม่ว่าอะไรหรอกเพราะอีกคนกำลังหิวข้าวมากๆ แต่ที่ไม่โอเคคือ ซึงฮยอนทำแบบนี้ทำไม



     “ผมไม่กินแล้วก็ได้ ข้าวน่ะ”



     สายตาของซึงฮยอนตอนนี้ไม่เหมือนคนโมโหหิวแล้ว
     แต่ เหมือนคนที่ หิว อย่างอื่นมากกว่า



     “ซ...ซึงฮยอน ไม่...” ร่างบางถูกคร่อมด้วยอีกคนอย่างรวดเร็ว ซึงฮยอนก้มหน้าเข้าซุกไซ้ที่คอและหน้าอกของแจจินอย่างไร้ความทะนุถนอม มือหนาพยายามเลิกเสื้อของคนที่อยู่ภายใต้ขึ้นเผยให้เห็นหน้าท้องเนียนเลยไปจนถึงราวนม



     เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


     แจจินดิ้นสุดแรง แต่ก็ไม่อาจห้ามซึงฮยอนที่กำลังเคลื่อนตัวลงไปยังด้านล่างเรื่อยๆ ขณะที่ปากลากถูไปบนผิวขาวรอบๆสะดือ มือสองข้างก็คลำหาซิปกางเกงหมายจะปลดมันออก ร่างที่ถูกกระทำอยู่ตอนนี้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ซึงฮยอนทำให้แจจินร้องไห้...ด้วยความโกรธและเจ็บปวดใจ



     “ซึงฮยอน!!!” อาศัยจังหวะที่อีกคนเผลอ แจจินรวบรวมพละกำลังทั้งหมดไปไว้ที่ขาข้างหนึ่งแล้วออกแรงถีบคนที่ปลายโซฟาจนร่วงลงไปกระแทกพื้น ซึงฮยอนดูเหมือนจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าของแจจินที่เต็มไปด้วยน้ำตา “ออกไป! ออกไปเดี๋ยวนี้!!!”



     จากคู่รักที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย ตอนนี้คนที่ซึงฮยอนใช้เวลาจีบกว่าห้าเดือนเพิ่งจะตะโกนไล่เขา


     เป็นครั้งแรก


     ด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัวที่สุด



     “พ...พี่ครับ ผม... ผมขอโทษ”



     คำขอโทษที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบหลุดออกมาจากปากของซึงฮยอนอย่างยากลำบาก แจจินที่ตอนนี้โกรธจัดจนไม่ได้ยินเสียงอะไรก็ไม่สามารถอ่านปากของอีกคนได้ ร่างบนโซฟาหลับตาร้องไห้หนักจนสั่นไปทั้งตัว


     ซึงฮยอนช็อคกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขารีบลุกขึ้นจะเข้าไปกอดร่างนั้นไว้แต่แจจินก็ยกมือป้องปัดออก และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดร้องไห้



     “ได้โปรด… ออกไป”



     ร่างสูงถอยออกมา เขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีก(ในตอนนี้) ซึงฮยอนขี้ขลาดเกินกว่าจะเอ่ยปากขอโทษแจจินอีกครั้ง สองเท้าเร่งก้าวออกไปจากบ้าน



     “โถ่เว่ย! แม่ง!” เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ถูกสตาร์ท ซึงฮยอนเบิ้ลเครื่องดังลั่นอย่างไร้มารยาทก่อนขี่ออกไปด้วยความเร็วที่สูงกว่าปกติ


     ส่วนแจจินเมื่อรู้ว่าซึงฮยอนขี่รถออกไปไกลแล้วก็ปล่อยโฮออกมาอย่างบ้าคลั่ง


     อย่าถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไง
     เพราะตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน






     น้ำตาเม็ดแรกของพี่แจจิน ที่เกิดจากความชั่วของผมล้วนๆ…


     แต่


     ทีแรก ผมก็อดที่จะโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองไม่ได้


     จนกระทั่งนึกขึ้นมาได้ว่า มันไม่มีเหตุผลที่แจจินจะปฏิเสธผมทั้งๆที่เรารักกัน


     ผมดูออก ว่าที่เขาไล่ผมออกจากมาบ้านนั้นไม่ใช่เพราะว่าตกใจ
     หรือไม่พร้อม


     แต่เป็นเพราะเขายัง ไม่ลืม ใครบางคนเสียมากกว่า


     จากความรู้สึกผิด ตอนนี้ปรับเปลี่ยนกลายเป็นโทสะ ซึงฮยอนเร่งความเร็วรถจนเข็มไมล์แตะหลักร้อย เขาอยากไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด






     ทันทีที่เครื่องยนต์ดับสนิท เจ้าของรถรีบลงไปกดออดหน้าบ้านหลังหนึ่งอย่างรัวๆโดยไม่กลัวว่าคนในบ้านจะออกมาด่า



     ‘วันนี้วันหยุด พวกเขาคงไม่อยู่บ้านหรอก’



     เสียงออดที่แสนหนวกหูเงียบลงเมื่อผู้มาเยี่ยมเห็นร่างของเจ้าบ้านเปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม



     “ฮยอง มีอะไ---”
     “แจฮยอน พ่อแม่อยู่บ้านมั้ย”
     “ไม่ฮะ”



     พอได้รับคำตอบอย่างที่ตัวเองคาดหวังไว้ ซึงฮยอนที่กำลังอารมณ์ร้อนเอื้อมตัวไปจับมือแจฮยอนแล้วกึ่งจูงกึ่งฉุดร่างเล็กเข้าบ้าน


     และไม่ออกมาอีกเลยจนถึงตอนเช้าของวันจันทร์












-  To be continued  -

No comments:

Post a Comment