June 25, 2018

[SF] FTISLAND 'Good Boy Bad Boy' (SEUNGJAE)

ϟ ✏ ϟ

A/U: High school feat. Mafia
Rating: PG-13

Pairing: Seunghyun x Jaejin
Supporting chars: Ilhun(BTOB), Park Jibin, Woojin(WANNAONE) and others

สาส์นจากไรท์เตอร์  เรื่องนี้มันเป็นแนว Coming of Age ที่ไม่ได้เน้นความหวือหวาอะไรมาก อาจจะไม่มีจุดไคลแมกซ์ที่พีคสุด ๆ หรือตอนจบที่กินใจคนอ่านขนาดนั้นนะคะ แต่ก็ขอบคุณที่ติดตามค่ะ






ϟϟ
Good Boy Bad Boy






   เสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนคาบแรกปลุกใครบางคนให้ตื่นจากความฝัน ครูประจำชั้นสาวสวยเดินถือกองสมุดการบ้านเข้ามาวางบนโต๊ะหน้าห้อง

   "ครูยูบินปล่อยผมแบบนี้โคตรเซ็กซี่เลยว่ะ" เสียงพูดที่ฟังไม่ค่อยถนัดเพราะอมยิ้มที่เจ้าตัวกินอยู่ดังมาจากเพื่อนร่วมชั้นคนสนิท

   ซึงฮยอนเช็ดคราบน้ำลายที่ขอบปากก่อนจะหันไปพิสูจน์คำบอกเล่าของอิลฮุนว่าจริงอย่างที่มันพูดไหม


   'ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย'


   ยอมรับได้สักพักแล้วว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่ว่าครูยูบินจะแต่งตัวแต่งหน้าสไตล์ไหนมาก็ดูเหมือนจะมีแต่เพื่อนของเขาเนี่ยแหละที่ใส่ใจ


   รอยปากกาแดงเถือกขีดแก้คำตอบวิชาคณิตศาสตร์ชนิดที่ไม่มีบรรทัดไหนถูกเว้นว่าง เด็กหนุ่มปิดสมุดกลับไปอย่างเซ็ง ๆ อันที่จริงนักเลงหัวไม้อย่างซึงฮยอนไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องมาเครียดกับอะไรแบบนี้เลยด้วยซ้ำ

   แต่ว่าก็แค่อยากเอาผลการเรียนสวย ๆ ไปให้พ่อกับแม่ดูบ้าง




   ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งที่เขาเพิ่งได้มาเมื่อต้นปีจากการโหวตของสมาชิกรวมถึงรุ่นพี่จงฮุนและรุ่นพี่ฮงกีผู้ก่อตั้งทำให้การชีวิตในรั้วโรงเรียนของซึงฮยอนต้องตกเป็นที่จับตามองตลอดเวลา นอกรั้วก็เช่นกัน

   เพราะถ้าเขากับเพื่อนเผลอพลาดท่าให้คู่อริเพียงนิดเดียว นั่นหมายถึงชื่อเสียงและศักดิ์ศรีที่สมาชิกรุ่นก่อน ๆ ช่วยกันสั่งสมมาจะถูกทำลายจนไม่เหลือซาก


   ไม่แปลกที่พอเป็นคนดังแล้วก็จะมีรุ่นน้องผู้หญิงมารุมกรี๊ด โต๊ะกินข้าวประจำของซึงฮยอนที่โรงอาหารมักจะเต็มไปด้วยจดหมายและดอกกุหลาบ แต่ถึงจะฮ็อตขนาดไหน มีด้านร้ายแล้วก็ต้องมีด้านดี

   พัค จีบิน หนุ่มในอุดมคติของใครหลายคนจากห้องข้าง ๆ ที่จริงคนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับซึงฮยอนหรอกแต่ถ้าจะไม่ให้พูดถึงก็คงไม่ได้ เขาคือผู้ที่เป็นเจ้าของเกรดเฉลี่ย 4.00 มาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตัวเต็งประธานนักเรียน พ่วงด้วยธุรกิจค้าขายของตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของจังหวัด

   จากที่กล่าวมาทั้งหมดก็ล้วนมีแต่เรื่องดี ๆ แต่ก็นั่นแหละ

   จีบีนถึงได้เป็นตัวแทนหนุ่มฮ็อตจากฝ่ายดียังไงล่ะ




   "เอาล่ะค่ะนักเรียน วันนี้พวกเราจะมีเพื่อนร่วมห้องเพิ่มมาใหม่อีกหนึ่งคนนะ"

   ครูยูบินทำให้เด็กในห้องหูผึ่งกันเป็นแถบ รวมทั้งพวกที่นั่งแถวหลังอย่างซึงฮยอนกับอิลฮุนด้วยเช่นกัน

   "เฮ้ย เตรียมคิดแผนรับน้องใหม่กันเลยดีกว่าว่ะ"
   "ขอดูหน้าก่อน เผื่อเป็นพวกขาใหญ่"

   ที่นั่งข้าง ๆ ซึงฮยอนยังว่างอยู่และแน่นอนว่ามันจะต้องกลายเป็นโต๊ะของเด็กใหม่

   "มาแนะนำตัวกับเพื่อน ๆ นะจ๊ะ แจจิน"

   เป็นผู้ชายที่หน้าสวยที่สุดตั้งแต่เขาเคยพบเจอมา


   เพื่อนใหม่คนนี้มีชื่อว่า อี แจจิน ไม่ได้เป็นพวกขาใหญ่อย่างที่ซึงฮยอนคาดคะเนไว้ แล้วก็ดูไม่ใช่คนอ่อนแอพอที่จะเป็นเป้าหมายให้อิลฮุนกลั่นแกล้งได้ด้วย

   "เอาไงดีวะ ไถเงินดีมั้ย" เพื่อนรักหันมาสะกิดสีข้างเขารัว ๆ หลังจากเห็นแจจินกำลังเดินมาที่โต๊ะ
   "คนนี้ชั้นขอ" ซึงฮยอนกระซิบ "ไม่ต้องมีรับน้อง"

   บารมีของหัวหน้าแก๊งทำให้อิลฮุนเชื่อฟังและไม่ตั้งคำถามอะไรต่อ รอยยิ้มตามมารยาทถูกส่งออกไปให้บุคคลที่สามเพื่อกลบเกลื่อนเจตนาชั่วร้ายเมื่อครู่




   หมดคาบเช้า นักเรียนแต่ละคนรีบเก็บของเตรียมตัวไปกินข้าวเที่ยง ระหว่างรออิลฮุนหารองเท้าข้างหนึ่งที่ถูกเตะหายไปตอนเขาหลับ ซึงฮยอนกำลังชั่งใจว่าจะชวนแจจินไปกินข้าวด้วยกันดีไหม


   'เราควรสร้างความประทับใจแรกในโรงเรียนใหม่ให้เขาสิ'


   'เฮ้ย แต่ มันใช่เรื่องที่กูจะต้องแคร์เหรอวะ'

   'แจจินคงเหงาแย่ถ้าต้องนั่งกินข้าวคนเดียว แล้วถ้ามีพวกเด็กเกเรมารังแกล่ะ'

   'เอ่อ... ที่นี่เกเรสุดก็พวกกูไม่ใช่เหรอ'


   เถียงกับตัวเองอยู่เกือบนาที ร่างสูงรีบก้าวเท้าพร้อมกับเอื้อมแขนไปจะแตะไหล่เพื่อนตัวเล็ก

   "แจจิน โทษทีห้องเราครูปล่อยเลท" ใบหน้าหล่อติ๋ม ๆ โผล่มาจากกรอบประตู

   "อ้อ ไม่เป็นไร เราก็เพิ่งเก็บกระเป๋าเสร็จพอดี"

   พัค จีบิน คนดีศรีโรงเรียนยิ้มให้แจจินอย่างกับเป็นแฟนกัน พวกเขาเดินหัวเราะคิกคักลงบันไดตึกไป ปล่อยให้ซึงฮยอนยืนงงเป็นไก่ตาแตก


   "อะไรวะ..."
   "ชอบหรอ" อิลฮุนเข้ามากอดไหล่สหายอย่างเห็นใจ

   "อือ คิดว่านะ" สายตาละห้อยก้มลงมองพื้นด้วยความที่ยังงงกับเหตุการณ์เมื่อกี้

   ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเลย นี่เขาจะต้องกินแห้วแล้วเหรอ

   "หมายถึงชอบไอ้จีบินอะนะ ฮ่า ๆ"
   "ไม่ใช่โว่ยยย!"








   ขึ้นสัปดาห์ใหม่ แจจินเข้ากันกับคนในห้องได้มากขึ้น จะมีก็แต่กับซึงฮยอนแล้วก็อิลฮุนเนี่ยแหละที่เจ้าตัวยังไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเท่าที่ควร

   "ชั้นแอบได้ยินไอ้อึนกวังเด็กเนิร์ดมันบอกแจจินว่าเราสองคนเป็นพวกนักเลง ไม่น่าคบหา" อิลฮุนพยายามทำตัวเป็นนักสืบให้เพื่อนสนิท "แจจินคงกลัวนายแล้วแหละตอนนี้"
   "ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะ" เขาประชด

   ตาที่แทบไม่มองจานข้าวเพ่งไปที่โต๊ะไกล ๆ ฝั่งตรงข้ามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แจจินกับจีบินคงไม่ได้เป็นถึงขั้นคนรักกันหรอกเพราะพวกเขาก็นั่งกินข้าวอยู่กับเพื่อนคนอื่นอีกเกือบสิบคน กลุ่มแคนดิเดทกรรมการนักเรียนที่มีเพื่อนห้องซึงฮยอนรวมอยู่ด้วยรีบตีสนิทกับแจจินโดยหวังว่าอาจจะได้เขามาเข้าร่วมทีม

   แหงล่ะ ใครกันจะไม่อยากได้คนเรียนดีมาเป็นสมาชิกพรรค


   สถานการณ์ที่โต๊ะของคนฝ่ายดียังไม่มีอะไรมากไปกว่าการอึ้งและทึ่งกับคะแนนเก็บสอบย่อยวิชาคณิตครั้งล่าสุดของนักเรียนใหม่

   20 เต็ม 20 คนเดียวของห้อง

   แม้แต่จีบินเองก็ได้ทำพลาดไปตั้ง 2 คะแนน

   "นายเข้ามาที่นี่เพื่อฆ่าจีบินชัด ๆ" นักเรียนหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้นขำ ๆ

   แจจินที่เคยชินกับความเก่งของตัวเองแล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขี่ยถั่วลันเตาในจานข้าวผัดของตัวเอง เพื่อนชายที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กเห็นท่าทางแปลก ๆ แบบนั้นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้

   "มีอะไรรึเปล่า" จีบินถาม
   "นายรู้จักผู้ชายที่นั่งเรียนข้าง ๆ เรามั้ย" ร่างเล็กห่อไหล่ลู่ลงกว่าเดิม ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา "ที่ชื่อ ซึงฮยอนน่ะ"
   "อ่า รู้สิ ไม่มีใครในโรงเรียนนี้ไม่รู้จักหมอนั่นหรอก" งงยิ่งกว่าเดิมว่าทำไมจู่ ๆ แจจินก็พูดถึงนักเลงหัวโจกประจำรุ่น แอบปิ๊งเขางั้นเหรอ

   "เขาเป็นคนยังไงอะ นิสัยไม่ดีอย่างที่คนอื่นว่าจริงรึเปล่า"

   จีบินส่ายหัว ถามมาอย่างนี้แจจินคงแอบชอบเจ้านั่นชัวร์

   "ถ้าคนอื่นที่นายพูดถึงคือพวกคนนอกโรงเรียน คำตอบคือ ใช่"
   "หมายความว่าอะไร"
   "แต่ถ้าคนอื่นที่นายพูดถึง คือคนในโรงเรียน คำตอบคือไม่"

   นักเรียนหน้าสวยทำตาโต คำตอบของจีบินไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจอะไรขึ้นเลยแม้แต่นิด

   "แล้ว..."
   "แก๊งของซึงฮยอนเที่ยวตีกับโรงเรียนอื่นไปทั่ว แบบว่า ทำตามปณิธานที่พวกรุ่นพี่ตั้งไว้น่ะ" วิกิพีเดียของแจจินหยุดดื่มน้ำครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายให้เขาฟังต่อ "แต่ถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยอะไรกับใครหรอก เงียบ ๆ ขี้เก๊ก ง่วนอยู่กับการบอกปฏิเสธความรักจากรุ่นน้อง จะมีที่เฮี้ยว ๆ หน่อยก็อิลฮุนที่ตัวติดเขาทั้งวัน ไอ้นั่นน่ะโคตรบ้า ถ้าซึงฮยอนไม่ห้ามไว้มันก็เกือบได้ต่อยกับเราแล้ว"

   นึกถึงวันนั้นแล้วอยากขำ จีบินเห็นอิลฮุนยืนไถเงินเด็กประถมอยู่ข้างรั้วโรงเรียนก็เลยรีบวิ่งเข้าไปห้าม สมุนหมายเลขหนึ่งของซึงฮยอนขู่เขาใหญ่ว่าจะเรียกลูกพี่มาจัดการ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่าหัวหน้าแก๊งต้องมาลากคอลูกน้องกลับบ้านแทนซะงั้น

   "งั้นเขาก็ไม่ได้เลวร้ายน่ะสิ"
   "ก็อืม" นึกว่าจะได้เห็นสีหน้าหมดห่วงของเพื่อนแต่แจจินกลับทำหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม "ทำไม ซึงฮยอนจีบนายอยู่เหรอ"
   "เปล่า... ยัง..."
   "ฮึ อ้าว แล้วทำไมถึงถามเราล่ะเนี่ย" จีบินเลิกคิ้ว งงกับอีกคนไปหมดแล้ว "หรือว่าตอนอยู่ในห้องซึงฮยอนแกล้งอะไรนาย"

   แจจินถอนหายใจเฮือกใหญ่

   "คือว่า ตั้งแต่เราซื้อข้าวมานั่งกินตรงนี้
   ซึงฮยอนเขายังไม่หยุดมองเราจากโต๊ะนู้นเลยจีบิน"




   สมการยาวยืดในชีทเรียนเล่มใหม่ที่อาจารย์เพิ่งแจกให้เล่นเอาซึงฮยอนมืดแปดด้านกับทุกสิ่งที่ตัวเองกำลังเขียน นักเรียนในห้องโดนสั่งให้ทำโจทย์กันเงียบ ๆ แล้วครูจะเฉลยให้ท้ายคาบ

   ด้านอิลฮุนนั้นปิดชีทนั่งเล่นเกมไปตั้งแต่ต้นชั่วโมง ถามอะไรก็คงตอบไม่ได้เพราะไอ้เจ้านี่กับคณิตศาสตร์ก็เป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน เจออีกทีก็คงเป็นตอนส่งงานที่มันจะฉกเอาชีทของเขาไปลอกทีเดียวเลย

   "เฮ้อ..."

   "นายลองเริ่มจากดึงตัวร่วมก่อนสิ"

   ซึงฮยอนหันขวับไปหาต้นทางของเสียง

   นี่ แจจินคุยกับเขาเหรอเนี่ย

   "อ...อ่าฮะ" ทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม หัวใจของซึงฮยอนเต้นแรงมากจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายอาจจะได้ยิน
   "แบบนี้อะ"

   คนตัวเล็กกระเถิบเก้าอี้มาใกล้ แจจินที่แก้โจทย์ทั้งสิบข้อในชีทของตัวเองเสร็จหมดแล้วแค่ไม่รู้จะทำอะไรต่อเลยอยากช่วยสอนเพื่อน

   แต่อันที่จริงคือ เขามีจุดประสงค์อย่างอื่นรวมอยู่ด้วย

   "ส่วนข้ออื่นก็ ทำแพทเทิร์นเดียวกันเนี่ยแหละ แปบเดียวก็เสร็จ"

   คนตัวสูงยิ้มให้ลายมือที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษ ไหนอิลฮุนบอกว่าแจจินกลัวเขาไง ไม่เห็นจะจริง นี่มันพระเอกขี่ม้าขาวชัด ๆ

   แล้วถ้าลองใช้เรื่องเรียนเป็นข้ออ้างในการเข้าหาแจจินล่ะ

   คงจะเข้าแก๊ป ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เลยนะเนี่ย

   "ขอบใจนะ"
   "เมื่อตอนพักเที่ยงนายมองเราทำไม"

   ฉิบหาย

   "ห้ะ ป...เปล่ามองซะหน่อย" งานเข้าแล้วซึงฮยอนเอ้ย
   "โกหก" คนเก่งเลขหันมาขมวดคิ้วใส่อย่างไม่พอใจ "นายเอาแต่จ้องมาที่เรา ตอนตักข้าวเข้าปากนายไม่ได้มองจานข้าวเลยด้วยซ้ำ"
   "เก็บรายละเอียดดีขนาดนี้ แสดงว่านายเองก็มองเราเหมือนกันล่ะสิ"
   "..."

   เสียงไชโยโห่ร้องดังก้องในสมองของซึงฮยอน เขาทำให้แจจินหน้าแดงได้โดยที่ไม่ต้องเต๊าะไม่ต้องจีบ จะสรุปเอาง่าย ๆ ว่านี่คือความสำเร็จในขั้นต้นก็แล้วกันนะ

   "ไม่เป็นไร เราถูกมองจนชินแล้วล่ะ" คนพูดยักไหล่กวน ๆ ก่อนจะกลับไปโฟกัสกับการแก้สมการของเขาต่อ
   "นายตอบไม่ตรงคำถามเลยอะ"
   "หืม..."
   "เราถามว่านายมองเราทำไม" คราวนี้เจ้าของคำถามเปลี่ยนมานั่งกอดอกแล้ว

   จะมีใครหาว่าบ้ามั้ยถ้าซึงฮยอนจะรีบฟันธงว่า คนนี้แหละ สเป็คเขาเลย ทั้งเรียนเก่ง น่ารัก แถมยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้รู้สึกได้ว่าแจจินจะต้องเป็นพวกจู้จี้นิด ๆ ขี้เขินหน่อย ๆ อีกด้วย


   'อยากได้เป็นแฟนแล้วอะ'


   เสียงปากกาเคาะกระดานตัดจบบทสนทนาของทั้งคู่ไปอย่างน่าเสียดาย สุดท้ายแล้วคนอยากเก่งเลขก็ต้องมานั่งลอกวิธีทำตามเฉลยเพราะว่าทำไม่ทัน อิลฮุนที่เพิ่งจะออกมาจากวังวนของ ROV ก็ควานหาเครื่องเขียนมาลอกกับเขาด้วยเหมือนกัน


   ใกล้เวลาเลิกเรียน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เข็มยาวบนนาฬิกาแขวนหน้าห้องรอให้มันเคลื่อนตัวไปถึงเลขสิบสอง

   "เอางี้มั้ยแจจิน ถ้านายอยากรู้เหตุผลที่เรามองนาย" ซึงฮยอนหันไปคุยกับเพื่อนใหม่คนนั้น "กลับบ้านด้วยกันสิ แล้วเราจะบอกระหว่างทาง"

   อิลฮุนผู้ได้ยินทุกอย่างถึงกับอ้าปากค้าง นั่นหัวหน้าแก๊งของเขากำลังชวนอี แจจิน กลับบ้านด้วย แถมยังใช้สรรพนามแบบที่พวกเด็กเรียบร้อยใช้กันอีกอย่างงั้นเหรอ

   "เอ่อ ขอโทษทีนะ" แววตารู้สึกผิดมองมาทางเขา "วันนี้เราต้องกลับกับจีบิน"
   "อ...อ่าว เหรอ" ซึงฮยอนยิ้มรับประสบการณ์หน้าแตกยับของตัวเอง "เออ ไม่เป็นไรหรอก งั้น--"
   "ไว้พรุ่งนี้มั้ยล่ะเดี๋ยวพรุ่งนี้เรากลับกับนาย" แจจินรีบเสนอทางเลือกใหม่

   มันก็เกือบจะดีใจแล้วนะแต่ว่า

   "ฮ่ะฮ่า แต่พรุ่งนี้มันวันเสาร์นะ"


   เสียงหัวเราะกับแก้มแดงแปร้ดค่อย ๆ จากเขาไปเนื่องด้วยตัวต้นเหตุที่ทำให้ซึงฮยอนต้องกินแห้วเดินมาเรียกแจจินอยู่ข้างนอกห้องแล้ว จีบินแอบงงว่าทำไมเพื่อนของตัวเองต้องปิดหน้าเขินขนาดนั้น แต่แล้วทั้งคู่ก็ออกจากโรงเรียนไปพร้อมกับทอปิคเด็ดประจำวัน

   "ฮื่อ เมื่อกี้เขาเพิ่งชวนเรากลับบ้านด้วยอะจีบิน
   เราว่าเราต้องชอบซึงฮยอนแล้วแน่ ๆ เลย"








   จุดนัดพบร้อนระอุเมื่อสายตากระหายชัยชนะของสองผู้นำปะทะกัน กลุ่มแก๊งในชุดยูนิฟอร์มต่างสถาบันต่างไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายตรงข้าม ข้อตกลงเรื่องสิทธิในการครอบครองพื้นที่บริเวณนั้นทั้งหมดจะถูกตัดสินภายนี้วันนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

   ใครถอยก่อน คนนั้นคือผู้แพ้


   "มึงถึงกับต้องเล่นไม้หน้าสามเลยเหรอวะ ไอ้ยงฮวา" ลูกน้องคนหนึ่งของซึงฮยอนตะโกนออกไป นักเรียนโรงเรียนคู่อริแบกอาวุธกันมาคนละท่อนสองท่อน แบบนี้มันเอาเปรียบกันชัด ๆ
   "เก็บปากมึงไว้ให้พวกกูฟาดเถอะ" คนพูดถ่มน้ำลายลงพื้นคอนกรีต "ว่าแต่หัวหน้าพวกมึง ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเลยรึไง"

   ซึงฮยอนไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำให้เสียเวลา มือหนาไขว้หลังไปคว้าอะไรบางอย่างที่พรรคพวกของเขาทั้งหมดซ่อนมันไว้อยู่

   แล้วทำไมจะต้องยอมปล่อยให้พวกนั้นเล่นตุกติกได้อยู่ฝ่ายเดียวกันล่ะ

   "ถ้ามึงมีไม้
   กูก็มีมีดแหละวะ ย้ากกก!!!"








   'เจ็บชะมัด...'

   สองหนุ่มหลังห้องเข้าเรียนมาด้วยสภาพไม่สู้คนสักเท่าไหร่ ซึงฮยอนนั่งเงียบไม่พูดกับใคร มุมปากที่ทั้งเขียวและปูดบวมด้วยฤทธิ์ของไม้หน้าสามยังคงสร้างความเจ็บปวดให้เขายาวนานล่วงเข้าวันที่สามไปแล้ว

   "แม่งเอ้ย ชั้นลืมตาซ้ายไม่ได้เลย" อิลฮุนน่าสงสารยิ่งกว่า ทั้งรอบ ๆ ดวงตาที่ม่วงช้ำจนดูสยองและแขนข้างหนึ่งที่ต้องใส่เฝือก "นายทำบุญด้วยอะไรวะทำไมถึงยังหล่ออยู่"

   จะขำยังขำไม่ได้ ดีนะที่ปากมันบวมตรงด้านที่ไม่ได้หันไปทางแจจิน ไม่งั้นล่ะน่าอายแย่

   ส่วนรายนั้นพอมาถึงโต๊ะก็กล่าวทักทายคนข้าง ๆ อย่างเคอะเขิน รอบนี้ไม่มีองครักษ์ พัค จีบิน เดินมาส่งเหมือนอย่างเคยแล้ว แจจินอยากคุยกับซึงฮยอนแต่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร

   บางทีการถามไถ่เกี่ยวกับการบ้านอาจเป็นตัวเลือกที่ดี

   "ซึงฮยอน นายส่งรายงานวิชาประวัติศ-- โอ๊ะ! นั่น หน้านายไปโดนอะไรมาน่ะ!"

   อีกคนก็ตื่นเต้นกับการทักทายเมื่อกี้จนลืมไปว่าตัวเองมีแผลฟกช้ำเต็มใบหน้า ซึงฮยอนรีบหันมายิ้มให้คนตัวเล็ก เจ็บปากมากแต่ก็คุ้มค่าอยู่เพราะว่าตอนนี้แจจินกำลังแสดงท่าทางเป็นห่วงเขาสุดขีด

   "โดนไม้ฟาดมาเอง ไม่มีอะไรมากหรอก" เพื่อนผู้หวังดีตอบคำถามให้แทน
   "ปกติโดนหนักกันอย่างนี้อยู่แล้วรึเปล่า"

   สองโจ๋ส่ายหน้ารัว ๆ พร้อมกัน แจจินหัวเราะให้กับสภาพอันดูไม่ได้ของพวกเขา แต่ดูเหมือนซึงฮยอนจะเป็นที่สนใจมากกว่านิดหน่อย เจ้าของรอยเขียวที่มุมปากทำได้แค่ยิ้มเบี้ยว ๆ กลับไปให้

   "ได้ทายาบ้างมั้ย ที่ปากน่ะ" นิ้วเรียวจิ้มเบา ๆ แถวมุมปากของตัวเอง

   ร่างสูงส่ายหัวอีกรอบ รอยบุ๋มบนแก้มนุ่มตรงที่นิ้วมือกดลงไปทำให้เขามีความสุขเวลาได้มองมัน ตกอยู่ในภวังค์ได้ไม่นานนักซึงฮยอนก็เห็นแจจินหยิบกระปุกขี้ผึ้งแก้ปวดบวมออกมาจากกระเป๋า

   มือที่บรรจงทายาหม่องให้ซึงฮยอนอย่างอ่อนโยนแทบจะหยุดโลกทั้งใบเอาไว้ในวินาทีนั้น แจจินเผยอริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวระหว่างที่เขากำลังตั้งใจทำหน้าที่เป็นพยายาลชั่วคราวให้เพื่อนร่วมห้องทำเอาคนที่มองอยู่ละสายตาไปจากอวัยวะนั้นไม่ได้เลย

   และอิลฮุน...ที่ได้แต่นั่งกระพริบตาปริบ ๆ อย่างคาดไม่ถึง


   "เย็นนี้กลับบ้านด้วยกันนะ"
   "โอเค"








   "เดี๋ยวนี้ลูกพี่เขาไม่ค่อยมาที่นี่เลยว่ามั้ย"
   "ถ้าบอกว่าซึงฮยอนกำลังติดเด็กคนนึงอยู่ เอ็งจะเชื่อปะวะ"
   "ว่าไงนะ จริงเหรอ"
   "เนี่ย อิลฮุนมาโน่นละ ลองถามมันดูสิ"

   ณ โกดังร้างที่สุมหัวหลักของแก๊งยังคงไร้วี่แววหัวหน้าที่ช่วงนี้มีข่าวลือไปทั่วว่าเขากำลังอินเลิฟ สองเดือนที่ผ่านมา อาณาเขตของหลาย ๆ โรงเรียนในย่านนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของพวกเขา

   ไม่ได้แปลว่าถูกครอบครอง

   แต่หมายถึงว่าจะไม่มีใครกล้าลองดีกับซึงฮยอนอีก

   "เห้ย อิลฮุน ที่หัวหน้าเราไม่ค่อยเรียกประชุมนี่เป็นเพราะเขาอยู่กับเด็กเหรอวะ"
   "อืม" อิลฮุนพยักหน้า ช่วงนี้มันไม่ได้มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง จะให้ซึงฮยอนไปทำอะไรอย่างอื่นบ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหายอยู่แล้ว
   "แบบนั้นมันจะไม่เสี่ยงไปเหรอ" พัค อูจิน รองหัวหน้าแก๊งพูดขึ้น "พวกไอ้ยงฮวามันจ้องจะเอาคืนเราอยู่ตลอด อีกอย่าง ชั้นรู้มาว่าแพ้ครั้งก่อนลูกน้องมันหายหน้าหายตาไปพักฟื้นกันตั้งเกือบสิบคน"
   "นั่นสิ มันรอล้างแค้นเราแน่" หลายคนในนั้นเริ่มเห็นด้วย

   สีหน้าเป็นกังวลของสมาชิกคนอื่น ๆ และคำพูดของอูจินทำให้เขาต้องหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ดูบ้าง เพื่อนรักของอิลฮุนอาจกำลังพยายามสลัดคราบแบดบอยของตัวเองเพื่อเอาใจแจจิน แต่สิ่งที่ซึงฮยอนทำมันขัดกันกับธรรมเนียมปฏิบัติของแก๊ง

   "ไว้ชั้นจะคุยกับเขาให้ละกัน"
   "หรืออาจต้องเป็นชั้นเอง" มีดสั้นในมืออูจินถูกเขวี้ยงไปปักที่กลางศีรษะของดาราชายคนหนึ่งบนโปสเตอร์เก่าข้างกำแพง "ถ้าหากซึงฮยอนมันไม่ฟังนาย จอง อิลฮุน"








   ประตูกระจกถูกผลักเปิดออกพร้อมเสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่บนด้ามจับเขย่าดังกรุ๊งกริ๊ง นักเรียนชายสองคนจูงมือกันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังตรอกข้าง ๆ คาเฟ่ขนมหวานสถานที่เดทสุดโปรดประจำวันศุกร์ หัวใจของทั้งคู่เต้นแรงแข่งกับพายุที่กำลังโถมกระหน่ำ

   ไม่รู้จะรีบออกจากมาร้านทำไม แต่หลบฝนอยู่ใต้หลังคาตึกด้วยกันแบบนี้ก็โรแมนติกไปอีกแบบ

   "เมื่อไหร่จะเลิกสั่งน้ำเสาวรสกินสักทีนะ" คนตัวสูงใช้แขนเสื้อซับน้ำฝนตามหน้าผากให้คนตัวเล็ก
   "ก็เราชอบอะ" คนพูดยืนตัวสั่นเพราะอากาศเย็น ใบหน้าของอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาประทับริมฝีปากมอบสัมผัสอุ่นที่ไม่ยาวนานเท่าไหร่
   "กลิ่นมันเลี่ยนเหมือนน้ำหอมของปู่"
   "นายก็พูดแบบนี้ทุกที"

   จูบนุ่มลึกท่ามกลางเสียงเม็ดฝนกระทบสังกะสีที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในคอนเสิร์ตที่มีแค่กลองชุด ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยมีใครสารภาพความในใจแต่ทั้งซึงฮยอนและแจจินก็รับรู้ได้ถึงความชอบพอในตัวกันและกันเดินทางมาถึงจุดที่เต็มไปด้วยความหอมหวาน

   "วันนี้เราขอไปค้างที่บ้านได้มั้ย"
   "ไม่ได้" ปากอิ่มสวนคำตอบออกไปทันควัน
   "แล้วเมื่อไหร่จะได้"
   "ไม่รู้" แจจินซุกหน้ากับเสื้อนักเรียนตัวชื้น ลอนผมยุ่งกระเพื่อมตามแรงหัวเราะจากการถูกอีกคนจักจี้ "ฮิ ๆ ซึงฮยอน พอเลย คนบ้า"


   สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของซึงฮยอนโผล่มาขัดจังหวะทุกอย่างได้พอดิบพอดี ฝนที่เริ่มซาทำให้เขาไม่ต้องตะโกนคุยกับคนในสาย นอกจากนั้น เสียงพูดของซึงฮยอนก็ยังดังพอให้แจจินจับใจความได้ว่าประเด็นเคร่งเครียดครั้งนี้คืออะไร


   [...แยกเรื่องสำคัญทั้งสองอย่างให้ออกนะซึงฮยอน ชั้นไม่รู้ว่าอูจินรู้อะไรมาบ้าง แต่ที่มันพูดก็ฟังดูมีน้ำหนัก]
   "อืม ชั้นเข้าใจละ"
   [จะนัดรวมแก๊งอีกทีเมื่อไหร่ ศุกร์หน้ามั้ย]
   "ศุกร์หน้าไม่ได้จริง ๆ ว่ะ"

   ร่างเล็กที่ยืนเตะก้อนอิฐเล่นอยู่เหลือบตาขึ้นมามองเขา

   [เคาะวันให้ได้ก่อนอูจินโทรหานายละกัน]
   "โอเค"


   ซึงฮยอนหันไปหาแจจินที่ตอนนี้ยืนกอดอกนิ่ง ใบหน้าที่บอกอารมณ์ไม่เล่นด้วยอีกแล้วจ้องเขม็งมายังคนที่อยู่ในสถานะมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน

   "นายเอาแต่อยู่กับเราจนไม่กลับไปหาแก๊งใช่มั้ย"

   คำถามนั้นทำให้ซึงฮยอนสะอึกไป

   นึกว่าแจจินจะชอบที่เขาเป็นแบบนี้

   "ก็ ไม่ได้เข้าไปนานแล้ว ตั้งแต่หลังจากที่ยกพวกไปตีกับ--"
   "แต่นายเป็นหัวหน้านะ อย่าทำตัวไม่เอาไหนแบบนี้สิ"
   "ไม่เอาไหนงั้นเหรอ" ร่างสูงงงหนักกว่าเดิม ยิ่งเห็นแจจินยู่ปากแบบนั้นยิ่งงง
   "ผู้นำที่ดีเขาไม่ทอดทิ้งลูกน้องกันหรอก"


   เป็นครั้งแรกที่เขาดุซึงฮยอนเรื่องนี้ ไม่สิ อันที่จริงอี แจจิน น่าจะเป็นเด็กเรียนคนแรกที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำสุดนักเลงและฉายามาเฟียไฮสคูลเลอร์ที่ไม่มีใครกล้าแหย่

   นี่ไม่ใช่วิถีของพวกคนดีเลย แม้แต่จีบินก็ยังไม่เห็นมีความคิดแบบนี้


   "แล้วจะให้เราทำไง"
   "แบ่งเวลาไงซึงฮยอน ช่วงไหนจะอยู่กับเพื่อน ช่วงไหนจะอยู่กับเรา"
   "พูดคล้าย ๆ กับอิลฮุนเมื่อกี๊เลย"
   "แต่ถ้าวันไหนยุ่งจริง ๆ ตอนกลางคืนหน้าต่างห้องเราอาจจะเปิดรอนายอยู่ก็ได้"

   ทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของแจจินแล้ว หลังจากหัวเราะจนท้องแข็งซึงฮยอนแกล้งวิ่งไปตรงจุดที่อยู่ข้างใต้หน้าต่างห้องนอนที่กำลังถูกพูดถึง เขาทำทีเป็นหาลู่ทางปีนขึ้นไป ซึ่งนั่นก็ทำให้เจ้าของห้องถึงกับขำไม่หยุด

   "ศุกร์หน้าหลังเลิกเรียนเราจองตัวนายแล้วนะ" สองคนมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ในอนาคตคงจะได้ถูกใช้เป็นบันไดให้ซึงฮยอนปีนขึ้นห้องแจจิน
   "ฮิ ๆ จะใช้เราทำแผลให้อีกล่ะสิ" ลมพัดแรงทำเอาหยดน้ำฝนที่เกาะอยู่ตามใบและกิ่งร่วงพรูลงมาใส่หัว โชคดีที่เขาได้กระเป๋านักเรียนของซึงฮยอนมาบังไว้ให้ทัน
   "พูดถึงเรื่องทำแผลแล้วเราอยากถามอะไรหน่อย" ฝ่ายที่ตอนนี้หัวเปียกซกกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ "นายพกยาหม่องเป็นนิสัยอยู่แล้วจริง ๆ เหรอ"
   "เอ่อ..."
   "ตั้งแต่วันที่นายเห็นปากเราบวมแล้วทายาให้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่มั้ยที่นายจะมีของแบบนั้นอยู่ในกระเป๋าอะ"

   แจจินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนายเอกในนิยายที่กำลังถูกรุ่นพี่ที่แอบชอบเค้นให้สารภาพความในใจ

   ใช่ คนตัวเล็กส่ายหัวแบบเด็ก ๆ ให้ซึงฮยอนรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กระปุกยาหม่องที่เพิ่งถูกแกะออกจากแพ็คในตอนเช้าหลังจากที่เขานึกได้ว่าก่อนหน้านี้แก๊งของพ่อหนุ่มนักเลงที่ตนเองแอบชอบเพิ่งจะไปมีเรื่องกับเด็กโรงเรียนอื่นมา เสียงซุบซิบในกลุ่มแฟนคลับของซึงฮยอนที่ลอยมาเข้าหูแจจินบอกกับเขาว่าถึงจะได้รับชัยชนะแต่ทั้งสองแก๊งก็เจ็บหนักเอาเรื่อง แทบจะไม่คิดอะไรอีก นักเรียนใหม่คนนี้รีบเลี้ยวเข้าร้านขายยา ถามเภสัชกรว่าถ้าเพื่อนของเขาโดนต่อยมามันพอจะมียาตัวไหนช่วยได้บ้าง

   ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้น...

   ก็เป็นอย่างที่เห็น

   "...ก็เราชอบนายหนิ" แจจินก้มหน้าทำแก้มป่อง "เวลานายชอบใครนายไม่อยากทำอะไรให้คนที่นายชอบบ้างเหรอ"
   "ก็นี่ไง อีกเจ็ดวันก็จะถึงวันเกิดคนที่เราชอบแล้ว" ซึงฮยอนก้มตัวตามลงไปฉีกยิ้มหวานใส่อีกคน "จะซื้อของขวัญอะไรไปเซอร์ไพรส์เขาดีล่ะเนี่ย"


   กว่าจะได้กลับเข้าบ้านจริง ๆ ก็ปาไปเกือบทุ่ม สองหนุ่มใช้เวลาอยู่ด้วยกันตรงนั้นยันมืดค่ำเพราะไม่มีใครอยากบอกลาใครก่อน พวกเขาจูบกันเป็นสิบหนและแจจินก็ได้แต่หวังว่าซึงฮยอนจะเข้าใจสิ่งที่คุยกันวันนี้ ทั้งเรื่องการเป็นหัวหน้าแก๊งที่ดีแล้วก็เรื่องทำแผล








   ใบหน้าอันแสนคาดหวังในตัวผู้นำคนใหม่ของสมาชิกแก๊งทั้งรุ่นเก่าและรุ่นปัจจุบันยังคงเป็นสิ่งที่ตัวเองจดจำได้ตลอดมา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวินาทีที่ทุกคนเลือกเขา การสาบานตนเบื้องหน้ารุ่นพี่จงฮุนกับรุ่นพี่ฮงกี รวมถึงช่วงเวลาแห่งศักดิ์ศรีที่แต่ละคนผ่านพ้นมาด้วยกัน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตัวก่อร่างสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ชายที่ชื่อ ซง ซึงฮยอน

   แต่ทำไมกัน พอเริ่มมีความรักแล้วทำไมเขาถึงได้ปล่อยให้มันเข้ามามีความสำคัญเหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างแบบนี้

   จะมีใครช่วยให้คำแนะนำกับซึงฮยอนได้ไหม




   "ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชั้นจะต้องมาเป็นที่ปรึกษาให้นาย" บุรุษท่าทางภูมิฐานอัดควันบุหรี่เข้าปอดและพ่นมันออกก่อนจะหันมาหาคู่สนทนา "กับเรื่องความรัก"


   อย่าให้เรื่องรักใคร่มีอิทธิพลเหนือกว่าปณิธานสูงสุดของแก๊ง นี่คือข้อปฏิบัติอันดับแรก ๆ สำหรับคนที่เป็นผู้นำ มีเหตุการณ์น่าสลดหลายครั้งหลายหนที่สมาชิกรุ่นก่อน ๆ ได้สร้างบทเรียนทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังดูและไม่คิดที่จะทำตามหรือเป็นอย่างพวกเขา

   เพราะว่า ความรัก นอกจากมันจะบ่อนทำลายสภาพจิตใจที่ควรหนักแน่นและมั่นคงอยู่กับพรรคพวก ในอดีตเราอาจรักตัวเอง รักเพื่อนฝูง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มรักใคร เมื่อใดก็ตามที่เรากล้าพูดว่าเรายอมแลกทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิตของเราเพื่อเขา เมื่อนั้น จุดอ่อนของผู้นำจะปรากฏและกำเนิดเป็นเส้นทางลัดสายใหญ่ให้กับศัตรูที่จ้องจะกำจัดเรา....ทุกคน


   "พี่คิดว่ากฎนี่มันงี่เง่ามั้ยครับ" เด็กหนุ่มผู้ที่ควรต้องได้รับคำแนะนำอีกมากมายถามขึ้นด้วยอารมณ์คิดไม่ตก
   "เคยคิด" ผงสีเทาถูกเคาะให้กระเด็นปลิวออกไปจากมวนยาสูบ "จนกระทั่งชั้นได้รู้อะไรบางอย่าง"
   "รู้อะไรเหรอครับ รุ่นพี่ชางซอบ"
   "รู้ว่ากฎนั่นมันไม่ได้มีไว้เพื่อห้าม" อดีตหัวหน้าแก๊งใช้น้ำเสียงราบเรียบแบบคนที่ผ่านอะไรมามาก "แต่มันมีไว้ให้เราเรียนรู้"
   "หมายความว่าเราต้องลองฝ่าฝืนมันรึเปล่าครับ" ใบหน้าของแจจินผุดขึ้นมาในความคิดของซึงฮยอนอีกครั้งในรอบห้านาที
   "ไม่ใช่ ซึงฮยอน ถ้าจะเรียนรู้จากผลที่ตามมาของการฝ่าฝืนกฎ มันก็มีคนเคยทำไว้ให้ดูอยู่แล้ว" รุ่นพี่คนสนิทสั่งสอนเขาต่อ "นายอยากเอาคนรักมาเสี่ยงกับเรื่องอย่างนี้จริง ๆ เหรอ"
   "เอ่อ ไม่"
   "งั้นก็หาวิธีที่จะรักษาสมดุลของสองสิ่งนี้ให้ได้สิ"








   ที่ห้องเรียน อิลฮุนที่นั่งสะลึมสะลืออยู่สะดุ้งโหยงเมื่อเจอแรงฝ่ามือของเพื่อนรักฟาดเรียกสติเข้าให้ นานแล้วเหมือนกันที่ซึงฮยอนไม่ได้เล่นแรง ๆ ใส่เขาแบบนี้

   "นายจะหลับอะไรตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบแรกวะเนี่ย" สหายร่างสูงยืนบ่นค้ำหัวเขาหน้าตาเฉย "เอาฮอทดอกมั้ย ซื้อมาฝาก"
   "ฮึ..." แปลกในแปลกในแปลก ไอ้นี่ปกติเห็นมันแคร์แต่กับแฟนมันซึ่งเป็นแฟนกันรึยังก็ไม่รู้ ทำไมคราวนี้ถึงมีโมเม้นท์ซื้อมื้อเช้ามาแบ่งอิลฮุนได้
   "พรุ่งนี้อย่าเบี้ยวประชุมนะ ห้าโมงเย็นที่เดิม เพิ่มเติมคือชั้นเลี้ยงไก่ทอด"
   "ป๋ามาจากไหนวะคุณหัวหน้าแก๊ง" ปากที่เคี้ยวขนมปังกับไส้กรอกตุ้ย ๆ เอ่ยขึ้นอย่างทึ่ง ๆ
   "ก็ ถือว่าเป็นการชดเชยที่ชั้นไม่เข้าไปโกดังเลยไง" คนขายาวนั่งไขว่ห้างเป่าลูกโป่งหมากฝรั่งสบายใจเฉิบ "ซื้อใจไอ้อูจินมัน"

   ถึงตัวจะคุยกับอิลฮุนแต่มือข้างหนึ่งที่จับจูงพานักเรียนอีกคนเข้าห้องมาด้วยตั้งแต่แรกก็ยังคงจับกันอยู่ไม่มีปล่อย เด็กผู้ชายด้านขวานั่งอมยิ้มเมื่อซึงฮยอนแกล้งบีบมือเล็ก ๆ ของเขาแน่นขึ้น พอรู้ว่ากำลังถูกจ้อง แจจินก็ต้องทำเป็นก้มหน้าก้มตาปั่นการบ้านของตัวเองต่อไป

   "ส่วนนาย เย็นนี้ก็ห้ามเบี้ยวนัดกินข้าวเราเหมือนกัน"




   เวิร์ค-ไลฟ์ บาลานซ์ กับการบริหารจัดการชีวิตของซึงฮยอนเริ่มเห็นวี่แววของความไปได้สวย แจจินแฮปปี้ที่การพูดคุยกันครั้งนั้นไม่สูญเปล่า ที่แก๊งก็พยายามเข้าใจว่าที่่ผ่านมาหัวหน้าของพวกเขาอาจจะมีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญไปบ้าง

   แต่ไก่ทอดรสเผ็ดของร้านนี้ก็อร่อยใช่ย่อย




   "ไม่อยากเชื่อว่าเพื่อนเราจะตกหลุมรักแบดบอยตัวพ่อของโรงเรียน แถมเจ้านั่นก็ยังคิดกับนายแบบเดียวกันอีก"

   จีบีนกับแจจินกลับบ้านด้วยกันครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ไม่มีใครจำได้ และแน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสแล้ว ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับซึงฮยอนก็จะต้องถูกหยิบมาพูดถึงเหมือนเคย

   "แล้วมันแปลกมากหรือไง"
   "หืม" จีบินเหวอไปที่อยู่ ๆ แจจินก็ชักสีหน้าใส่เขา "ก็--"
   "มันผิดเหรอที่เด็กเรียนอย่างเราจะชอบคนแบบซึงฮยอนอะ" ร่างเล็กเริ่มไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่ครั้งแรกที่บอกกับจีบินไปว่าเขาชอบซึงฮยอนหมอนี่ก็เอาแต่พูดกับเขาว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทางที่ซึงฮยอนจะชอบเขากลับ
   "ก็เราคิดว่ามันจะมีแต่ในนิยายนี่นา" หนุ่มหน้าหวานเกาหัวแกรก ๆ "คือ นายเข้าใจใช่ปะ นักเลงกับนักเรียนเป็นแฟนกัน พล็อตแบบน้ำเน่า ๆ นิดนึง"
   "แต่ของเรามันไม่น้ำเน่าสักหน่อย"
   "อ่าค้าบ ก็ถึงได้บอกว่าไม่อยากเชื่อเลยไง"

   เห็นทีจะต้องปรับทัศนคติ เอ้ย ง้อกันอีกยาว จีบินตัดสินใจพาเพื่อนเลี้ยวแวะรถขายไอติมข้างทาง เลี้ยงซอฟต์เสิร์ฟเขาสักโคนเพื่อให้อะไรเย็น ๆ ได้เข้าไปดับไฟโมโหในร่างกาย

   "เออ แจจิน"
   "อะไร"
   "แล้ววันเกิดนายพรุ่งนี้ ซึงฮยอนเขาจะพานายไปไหนอะ"








   'โรงแรมเหรอ!'


   หัวใจเจ้าของวันเกิดหล่นวูบลงไปอยู่ที่เท้า ก่อนหน้านี้คนที่พาเขามาถึงที่นี่ไม่ได้บอกใบ้อะไรสักคำ ซึงฮยอนหันมาหาแจจินที่ตอนนี้อึ้งค้างไปแล้ว

   "ได้มั้ยแจจิน" ร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง


   กว่าจะรู้ตัวว่าตอบตกลงกับซึงฮยอนไปพวกเขาก็เข้ามาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีหวานที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นกันเรียบร้อย ไม่มีบทสนทนาใด ๆ สองคนยืนจ้องหน้ากันท่ามกลางแสงไฟสลัวที่พยายามดึงเอาความต้องการในตัวของแต่ละฝ่ายออกมา


   "สุขสันต์วันเกิดนะ" กลายเป็นซึงฮยอนที่พลั้งพูดเป็นคนแรก และแจจินที่เคลื่อนกายเข้าไปใกล้เขามากขึ้น
   "ทำไมไม่ให้ของขวัญแบบคนอื่นล่ะ" ใบหน้าที่ซ่อนยิ้มไม่มิดเงยขึ้นให้ปลายจมูกชนกับคางของคนตัวโต
   "เราไง ของขวัญของนาย"

   แจจินหัวเราะพลางยกแขนขึ้นโอบรอบคอของขวัญชิ้นยักษ์ของตัวเอง

   "ไหน บอกซิ ของขวัญชิ้นนี้ทำอะไรได้บ้าง"
   "ทำ...ให้คนที่เกิดวันนี้มีความสุขครับ"




   ไม่มีช่วงเวลาไหนเหมาะเท่าตอนนี้อีก...




   "ซึงฮยอนนี่" เสียงอ่อยกระซิบเรียกคนรักอยู่ข้างหู แผงอกเปลือยเปล่าถูกปลายนิ้วเรียวลูบไล้ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ
   "ว่า..."
   "รู้มั้ยเราชอบนายที่ตรงไหน"

   สองคนขยับย้ายร่างขึ้นมานั่งบนที่นอน ลมหายใจร้อนรินรดริมฝีปากกันและกันเมื่อทั้งคู่ปรารถนาที่จะจูบ...

   "ตรงไหนเหรอ" หน้าแนบหน้ายับยั้งจุมพิตที่อาจขัดขวางบทสนทนาสำคัญ
   "เราไม่ได้ชอบที่นายพยายามเป็นแบบเรา"
   "..."
   "ที่นายออกห่างจากแก๊ง ลบภาพลักษณ์เด็กเกเรเที่ยวต่อยตีชาวบ้าน" มือเล็กกุมมือใหญ่ไว้หลวม ๆ "เราไม่ชอบที่นายไม่เป็นนาย"
   "แจจิน..."
   "เราชอบซง ซึงฮยอน ที่เป็นแบดบอยไม่ใช่กู๊ดบอย"


   เคยบอกเป็นนัยตั้งแต่ตอนที่เขาสารภาพเรื่องยาหม่องแล้ว หากไม่ยินดีจริง ๆ เรื่องอะไรแจจินจะต้องคอยปฐมพยาบาลทำแผลให้เขาอยู่เรื่อยล่ะ

   ซง ซึงฮยอนน่ะมีชุดความคิดที่ไม่ได้ต่างไปจากจีบินเพื่อนเขาหรอก ชอบก็คือชอบ ถ้าคบกันแล้วมันรอดก็คือรอด ไลฟ์สไตล์อาจเป็นปัจจัยแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

   ซึ่ง ระยะเวลาสองเดือนกว่านี่ยังพิสูจน์ไม่ได้อีกเหรอว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันเวิร์ค

   อีกทั้ง ครั้งแรกของพวกเขาที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่่นาทีที่ผ่านมานั่นด้วย


   "ง่า ยังทันใช่มั้ยถ้าเราจะบอกว่าขอโทษ" ฝ่ายที่หูตาสว่างแล้วเอานิ้วเขี่ยริมฝีปากล่างของอีกคนเล่นเป็นเชิงอ้อน
   "ถ้าบอกว่าไม่ทันก็คงไม่ต่างอะไรกับฟันแล้วทิ้งอะ"
   "อูย ได้กันแล้วพูดจาน่ากลัวขึ้นเยอะเลยแฮะ"

   ซึงฮยอนถึงกับซู้ดน้ำลาย เคลียร์กันเสร็จก็จูบปิดท้ายสักนิด อีกแปบนึงแจจินก็ต้องกลับบ้านไปเลี้ยงฉลองกับครอบครัว น่าเสียดายอยู่หน่อย ๆ ที่มีครั้งแรกแต่ยังไม่มีครั้งที่สองตามมา ต่างคนต่างรีบจัดการตัวเองก่อนจะต้องเดินทางออกจากสถานที่ฉ่ำรักแห่งนี้








   จุดนัดพบไม่ร้อนระอุเหมือนหนก่อนอีกแล้ว หนึ่งปีแห่งการเก็บตัวรอวันที่เลือดจะถูกล้างด้วยเลือดผ่านพ้นมาถึงช่วงเดือนธันวาอันหนาวเหน็บ สถานที่โล่งกว้างบรรจุวัยรุ่นในเครื่องแบบนับห้าสิบชีวิตจากสองสถาบัน หัวหน้าของพวกเขา ซึงฮยอนและยงฮวา คู่อาฆาตยืนเผชิญหน้ากันท่ามกลางฝูงนักเรียนที่มาที่นี่เพื่อเอาชนะและชำระแค้น

   "เป็นการกลับมาที่ไม่เร็วเท่าไหร่เลยนะ" ซึงฮยอนควงอาวุธเหล็กในมือไปมาเพื่อข่มศัตรู
   "อย่าหวังว่ารอบนี้มึงจะรอดไปได้ ไอ้ซึงฮยอน" ยงฮวายิ้มเยาะ
   "อ๋องั้นเหรอ จะเล่นสกปรกอะไรอีกล่ะคราวนี้" เกือบทุกเขตในจังหวัดรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของซึงฮยอนกันหมดแล้ว ถ้าใครคิดจะมีเรื่องกับเขาก็หมายถึงมีเรื่องกับพวกนั้นด้วย "คิดให้ดีนะ"
   "บอกลูกน้องมึงว่าอย่าหันหลังหนีพวกกูก็แล้วกันถ้าถึงตอนนั้น"
   "ได้..." คำมั่นของลูกผู้ชายเล็ดลอดผ่านฟันกรามที่ขบกัดกันดังกรอด "ไปเว้ย! สู้ให้พวกมันรู้ว่าใครกันแน่ที่จะไม่รอด ย้าก!!!"
   "ย้าก!!!"


   .
   .
   .


   "เฮ้ย ตำรวจมา!!!"


   .
   .
   .


   เหล่านักเลงพากันวิ่งแตกฮือหลังจากต่อยตีกันไปได้ร่วมสิบนาที ซึงฮยอนเรียกต้อนพรรคพวกออกจากพื้นที่หนีเสียงหวอรถตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เริ่มทยอยเข้ามาล้อมทั้งสองแก๊ง


   ปัง!


   "อ้าก!!!"

   "เวรแล้ว! ซึงฮยอนถูกยิง!"

   กระสุนฝ่าพวกเขามาจากฝั่งของพวกยงฮวา อิลฮุนกับอูจินรีบวิ่งเข้าแบกรับร่างหัวหน้าที่กำลังจะล้มลงเพราะแรงเจาะกระแทกของเม็ดตะกั่ว ในวินาทีที่เป็นใจ อิลฮุนทันหันไปเห็นว่าใครคือไอ้ชั่วที่ยิงเพื่อนของเขา

   "ไอ้ยงฮวามันยิงซึงฮยอน กูจะไปฆ่ามัน!!!" มีดยาวในกระเป๋ากางถูกชักออกมา อูจินที่ว่องไวกว่าฉุดรั้งเพื่อนร่วมแก๊งเอาไว้พร้อมตะโกนเรียกสติ
   "อย่าเพิ่งเว้ยอิลฮุน!"
   "ปล่อยกูอูจิน! กูจะไม่ยอมให้มันยิงเพื่อนกูฟรี ๆ!"
   "ดูให้ดี ๆ สิวะ!" รองหัวหน้าแก๊งกระชากแขนอิลฮุนเกือบสุดแรง "ตำรวจมาจับมันไปโน่นแล้ว เราก็ต้องรีบหนีก่อนที่จะโดนไปด้วย"
   "อั้ก...! อิลฮุน..." ซึงฮยอนที่เริ่มทนได้กับอาการเจ็บปวดตรงต้นแขนขวาพยายามบังคับตัวเองให้ลุกเดินต่อ "ทำตามที่อูจินบอก เร็ว!"


   โชคดีที่คนโดนยิงยังวิ่งไหว ทั้งสามคนเป็นสมาชิกแก๊งกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาจากตรงนั้น อูจินสั่งให้คนที่มีรถขับไปส่งพวกเขาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ส่วนอิลฮุนก็รีบโทรหาแจจินเพื่อบอกข่าว

   "พวกตำรวจรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่" คนที่เพิ่งเกือบจะสละชีวิตล้างแค้นให้เพื่อนสนิทถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
   "หึ ๆ"
   "หัวเราะอะไรกัน"

   สองผู้นำยิ้มให้กันแบบมีเลศนัย ส่วนอิลฮุนที่ยังไม่รู้เรื่องก็ได้แต่ทำหน้างงงวยและสับสน

   "ขนาดครั้งที่แล้วนัดมือเปล่ามันยังเอาไม้หน้าสามมาด้วย" อูจินพูด
   "แล้วรอบนี้มีเหรอที่ไอ้ขี้โกงนี่จะไม่เล่นหนักขึ้น" ซึงฮยอนสมทบ

   อย่างนี้ก็แสดงว่า

   "พวกนาย...โทรหาตำรวจ" ทั้งอิลฮุนและเพื่อนที่ขับรถต่างพูดอะไรต่อไม่ออกไปตาม ๆ กัน

   หัวหน้ากับรองหัวหน้าแก๊งแสนเจ้าเล่ห์พยักหน้าเล็กน้อยให้กับข้อสันนิษฐานนั้น

   "มีใครรู้อีกมั้ย"
   "รู้กันแค่ชั้น กับเขา"




   หนุ่มหน้าสวยเร่งฝีเท้าตรงมายังแผนกฉุกเฉินเห็นเพื่อนของซึงฮยอนนั่งทำหน้าเคร่งเครียดข้าง ๆ ผ้าม่านรางที่ถูกปิดอยู่

   "เป็นยังไงบ้าง"

   สีหน้าเรียบเฉยแบบนั้นไม่ได้ทำให้อิลฮุนรู้สึกแปลกใจ แต่กับอูจินที่เพิ่งได้เจอแจจินเป็นครั้งแรกก็ทึ่ง ๆ ไปตามประสาคนที่ไม่รู้จักนิสัยกัน

   "หมอกำลังเช็คว่าจะต้องผ่ากระสุนออกมั้ย" อิลฮุนพยายามทำให้บรรยากาศไม่ซีเรียสเกินไป "แต่มีความเป็นไปได้ที่ซึงฮยอนจะได้กลายเป็นพวกมีลูกเหล็กฝังอยู่ในตัว"
   "จริงดิ" แจจินตาลุกวาว ถ้าแฟนของเขามีของแบบนั้นอยู่ในร่างกายจริง ๆ มันก็คงจะเท่และเซ็กซี่น่าดู
   "อือ แต่มันโดนยิงที่แขนขวานะ คงว่าวไม่หนุกไปอีกพักใหญ่" เพื่อนสนิทจอมกะล่อนปล่อยมุกหน้านิ่ง
   "ไม่ต้องห่วงหรอก เนี่ย ยังเหลือมือเราอีกตั้งสองข้าง แล้วก็ปากด้วย"

   อูจินที่แอบฟังสองคนนั้นคุยกันอยู่แทบจะสำลักกาแฟที่ตัวเองดื่ม


   'นี่เหรอวะ แฟนเด็กเรียนเกรดเฉลี่ย 4.00 ของซึงฮยอน'








   รถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งใช้เวลาหาที่จอดและถอยหลังเข้าซองอยู่นานเกือบยี่สิบนาที ผู้โดยสารเฉพาะกิจถึงกับยกมือซ้ายขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยความรู้สึกรอดตายและโล่งอกที่ลูกรักคันแรกของตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงเกิดรอยบุบไปได้อีกวัน

   "วันนี้เราขับเป็นไงมั่ง" โชเฟอร์มือสมัครเล่นหันมายิ้มหวานให้เจ้าของรถตัวจริงที่กำลังเอี้ยวตัวเอื้อมแขนซ้ายมาดึงเบรกมือ
   "ก็ดี แหะ ๆ"

   ขืนบอกความจริงไปมีหวังโดนค้อนกลับแน่ ซึงฮยอนจัดแจงอาร์มสลิงที่พยุงแขนขวาของเขาอยู่ให้มีสภาพพร้อมเผชิญโลกภายนอก ท่าทางเก้งก้างทะแม่ง ๆ แบบนั้นทำให้แจจินต้องยื่นมือมาช่วยเหลือแฟนอีกแรง

   "เมื่อไหร่จะหายนะ พ่อแบดบอยคนเหล็ก" คนตัวเล็กหยิกแก้มเขาอย่างมันเขี้ยว
   "ถ้าได้รับจูบเพิ่มพลังบ่อย ๆ พรุ่งนี้ก็คงจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย"


   ทั้งคู่นั่งหยอกล้อกันอยู่ในรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงเรียนอีกที เด็กสาวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ด้วยความที่พวกเธอบางคนน่าจะจำได้ว่านี่คือรถยนต์ของใคร

   "ซึงฮยอน แฟนคลับนายมานู่นแล้ว" แจจินจับคางหนุ่มฮ็อตของเขาให้หันออกไปทางหน้าต่าง "อยากได้จูบเพิ่มพลังไม่ใช่เหรอ ลดกระจกลงเร็วสิ"
   "อ่า..."

   กระจกหน้าต่างรถที่ถูกลดเปิดออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นคนสองคนกำลังนัวเนียริมฝีปากกันอย่างดูดดื่ม เสียงวี๊ดว๊ายของนักเรียนด้านนอกแปรเปลี่ยนเป็นคำอุทานและการสบถเบา ๆ เพราะต้องมาเห็นการกระทำที่บาดหูบาดตาแบบนั้น

   จากแฟนหนุ่มตัวดีของรุ่นพี่ซึงฮยอน


   "อี๋ ทำไมต้องทำตัวประเจิดประเจ้อด้วย"
   "ฮือ...ชั้นรับไม่ได้"
   "ไอ้เราก็ลืมไปว่าถ้าเขามีรถ...เขาก็ต้องมีแฟนนั่งอยู่ในรถ"


   ประโยคซุบซิบนินทาเหล่านั้นดังพอที่จะสร้างความสะใจในปริมาณไม่น้อยให้แก่แจจิน หลังจากที่พวกเด็ก ๆ เดินหนีไปทางอื่นหมดแล้วเขาก็ปิดกระจกกลับขึ้นไปตามเดิม

   "ฮิ ๆ สนุก"
   "แกล้งรุ่นน้องแบบนั้นอะนะสนุก" ซึงฮยอนเอ็ด เขาเองยังคงละเมอเมาอยู่กับการเล้าโลมเมื่อครู่ "อยู่กับอิลฮุนมากไปจนติดนิสัยมันมาแล่ว"
   "ออกไปเช็คเรตติ้งกันดีกว่า"


   คนตัวเล็กลงจากรถพร้อมกับคนตัวใหญ่ ซึงฮยอนรอให้แจจินเดินมาควงแขนเขาเข้าโรงเรียนไปด้วยกัน สายตาของนักเรียนเพ่งตรงมาที่ทั้งสองตั้งแต่ก้าวแรกยันก้าวสุดท้ายก่อนถึงห้องเรียน ภาพที่เห็นในแต่ละวันของพวกเขามันดูเฟียร์ซเสียจนน่าจะมีเพลงประกอบเท่ ๆ เปิดคลอตลอดการใช้ชีวิตของคู่รักสุดฮ็อตคู่นี่


   อี แจจินไม่ได้เป็นแค่เด็กเรียนธรรมดาทั่วไป ยังมีความลับอีกมากมายที่แม้แต่ซึงฮยอนเองก็ยังค้นพบไม่หมด แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ ภาพลักษณ์คนเรียบร้อยใสซื่อพูดจาไพเราะแบบที่เคยเจอในช่วงแรก ๆ ที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนที่นี่ นั่น เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่เจ้าตัวเลือกให้โผล่พ้นจากทะเลขึ้นมา

   แต่ส่วนที่เหลือที่จมอยู่ใต้น้ำดำมืดด้านล่างเนี่ย...

   ขอบอกตรงนี้เลยว่า

   Good Boy อี แจจิน น่ะ ไม่มีอยู่จริงหรอก






ϟ The end ϟ

June 20, 2018

[FANFIC] FTISLAND 'SWEET PEPPER' (SEUNGJAE) 2/3

read SWEET PEPPECHAPTER ONE. click here



หลายเดือนผ่านไป…







JJღ♥: ออกไปทำงานแล้วเหรอ
JJღ♥: ขับรถดี ๆ นะ



ดีใจที่รู้ว่าวันนี้แจจินตื่นเช้ากว่าปกติ ผมที่กำลังนั่งหงุดหงิดอยู่หน้าพวงมาลัยจะได้มีเพื่อนคุยแก้เบื่อในช่วงเวลาแสนทรมานท่ามกลางรถที่โคตรติด




SHღ♥: ไม่ได้ขับหรอกรถอะ แยกเวรนี่มันนิ่งมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว เซ็งชิบหาย
JJღ♥: ใจเย็น 😶
SHღ♥: ถ้ามีใครมานั่งข้าง ๆ ให้จับมือก็คงดี



แล้วผมก็ได้เห็นแจจินเขินในเวอร์ชั่นตัวอักษรบ้าง อ่า ถ้าไปต่อไม่ถูกก็อย่ารัวสติ๊กเกอร์มาแบบนี้สิ


SHღ♥: แต่คงยากอะ แค่ตืื่นก่อนชั้นออกจากบ้านยังทำไม่ได้เลย 🙄
JJღ♥: เออ ก็คนมันง่วง


เปลี่ยนเรื่องดีกว่า


SHღ♥: กินน้ำบ่อย ๆ นะแจจิน
SHღ♥: ปากนายแห้งมากเลยเมื่อเช้า
JJღ♥: อะไร รู้ได้ไง
SHღ♥: เป็นขุย ๆ เลย
SHღ♥: ก็มันขูดปากชั้นน่ะสิ



โอเคครับ พอใจละ แค่แจจินพิมพ์คำว่า ‘บ้า’ ส่งมาให้เกือบสิบแชทวันนี้ผมก็แฮปปี้ยันเลิกงานแล้ว...













SWEET PEPPER
 #ฟิคพริกหวาน 

CHAPTER TWO.







Seunghyun   x   Jaejin






Genre: A/U, Yaoi, Drama, Fantasy
Rating: PG-13






แต่แล้วก็กลับมาเซ็งอีกรอบ วันนี้ผมจะไม่ได้เข้าออฟฟิศเลยเพราะต้องไปคุยงานกับลูกค้า เห็นว่าคนนี้เหมือนจะเป็นดาราที่เพิ่งผันตัวมาทำธุรกิจซะด้วยสิ อธิบายหลายเรื่องก็เท่ากับว่าอาจได้กลับบ้านช้า เฮ้อ แล้วพ่อบ้านของผมเขาจะงอนเอามั้ยเนี่ย


“ทางนี้ครับคุณซึงฮยอน”


ชายสูทเทายืนรอต้อนรับผมอยู่บริเวณด้านหน้าจุดนัดพบ ปกติผมเห็นแต่พวกลูกค้าต่างชาติที่จะเลือกใช้เลานจ์ของโรมแรมหรูแบบนี้เป็นสถานที่คุยงาน

แต่นี่ เขา เป็นคนเกาหลี


“สวัสดีค่ะ คุณซึงฮยอน”


ไม่ใช่สิ ผมต้องใช้คำว่า เธอ


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ
คุณจีน่า”


ก็ รู้สึกคุ้น ๆ กับชื่อนี้อยู่นะ แต่ขอบอกตามตรง ผมไม่เคยตามข่าวเซเลบริตี้คนดังอะไรเลย เธอจะเสียเซลฟ์มั้ยล่ะเนี่ยถ้าผมไม่แสดงอาการตื่นเต้นใด ๆ กับการพบหน้าเธอตัวต่อตัวแบบนี้


“นี่ เอ่อ คุณถูกส่งมาอีกทีสินะ”


ผมส่ายหน้าให้กับประโยคเชิงดูแคลนเพราะผิดหวังประโยคนั้น


“ผม ส่งตัวเองมาต่างหากครับ” พูดจบผมเห็นจีน่าทำตาโตเล็กน้อย “พอดีว่าผมเป็นเจ้าของบริษัทนี้”

“อ๋อ ค่อยยังชั่วหน่อย” เธอยิ้ม… ดูเป็นรอยยิ้มที่ไม่จริงใจเอาซะเลย


ผมรีบพาเราทั้งคู่เข้าประเด็นเรื่องงาน อี จินอา ดาราสาวมากความสามารถที่ใคร ๆ ก็ตกหลุมรัก (ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตที่ผมแอบเสิร์ชเมื่อกี๊บอกผมมาแบบนี้) เธอเพิ่งลงทุนทำแบรนด์เครื่องสำอางค์ของตัวเอง และกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยจัดการในส่วนของงานเปิดตัวตรายี่ห้อ รวมถึงผลิตภัณฑ์ลิปสติกซีรีส์แรกของเธอ


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงผมก็รู้ว่าจีน่าเป็นคนเปิดเผยและคุยง่ายกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่กับชุดเดรสสีทับทิบที่ผ่ากลางอกอวบของเธอลงไปเกือบคืืบ แต่ความฉลาด มีไหวพริบ บวกกับน้ำเสียงขี้เล่นหน่อย ๆ นั่นก็ทำให้อคติที่ก่อตัวในหัวผมตอนแรกค่อย ๆ สลายออกไปทีละนิด


ผมไม่ควรมองหน้าอกเธอรึเปล่า

หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่จีน่าขอให้บริษัทส่งพนักงานผู้ชายมา


“ผู้ชายวางแผนเก่งกว่าผู้หญิงค่ะ แล้วก็...” เธอตอบคำถามที่ผมแกล้งถามออกไป “เชื่อฟังกว่า”

“ใช้คำได้น่ากลัวดีนะครับ” อะไรบางอย่างสั่งให้ผมตอบโต้แววตาร้อยเล่ห์ที่ลูกค้าสาวสวยคนนั้นส่งมา

“หมายถึง บอกให้ทำอะไรก็ทำน่ะ”



นั่นก็ยังฟังดูน่ากลัวเหมือนเดิม


SHღ♥: วันนี้ชั้นกลับช้าหน่อย ไม่ต้องรอก็ได้นะ


เสร็จสิ้นขั้นตอนปรึกษาหารือที่มีขึ้นอย่างยาวนานจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น หลังจากนี้ ผมต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในส่วนของกระบวนการกระชับสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างกันต่อ


“คุณดื่มรึเปล่า ซึงฮยอน” จีน่าลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือเรียกผู้ติดตามของเธอ “คืนนี้พวกเราทั้งหมดอยากพบกับคุณ เราจองร้านไว้เรียบร้อยแล้ว”

“เอ่อ ครับ”


ดักหมดทุกทางซะแบบนั้นก็คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ชายสูทเทาคนเดิมก้าวเท้าเข้ามาหาผมพร้อมนัดแนะเวลาและสถานที่นัดพบแห่งที่สอง


เดิมทีผมไม่ใช่พวกเที่ยวกลางคืนจึงไม่ค่อยสันทัดกับการนั่งบาร์อะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ การตกแต่งภายในอันหรูหราที่ทำให้รู้ทันทีว่านี่คือสถานที่สำหรับพวกไฮโซยิ่งเรียกความกระอักกระอวนในตัวออกมาเรื่อย ๆ

ไม่หรอก ที่จริงแล้วผมไม่ได้รู้สึกเกร็งเพราะบรรยากาศ

แต่เป็นเพราะของเหลวแก้วแล้วแก้วเล่าที่เธอรินให้ผมต่างหาก


“อย่าทำหน้าเหมือนไม่ไว้ใจชั้นแบบนั้นสิ” จีน่าดูตื่นตัวกว่าปกติเนื่องจากเธอก็ดื่มไม่น้อยไปกว่าผม ทุกคนที่โต๊ะใช้ระดับคำพูดคำจาเหมือนคนที่สนิทสนมกันมานาน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากฤทธิ์เหล้าล้วน ๆ “จะว่าอะไรมั้ยถ้า...”


เธอกระเถิบเข้ามานั่งชิดกันกับผม กลิ่นน้ำหอมที่จีน่าใช้นั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนกลางวันแล้ว มันให้อารมณ์ที่เย้ายวนยิ่งกว่าเดิม และผมไม่ชอบที่เธอยื่นมือข้างหนึ่งมาจับที่หน้าตักผมแบบนี้


“จีน่า ผมว่าคุณ--”

“ทำไมเกร็งจังล่ะ” จีน่าไม่ใส่ใจเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่น ๆ อีก สายตาเลื่อนลอยของเธอจ้องเหม่อมาที่ผม

“เราต้องคุยงานกันไม่ใช่เหรอ”

“ไม่หนิ...” ไม่มีใครสนใจเราสองคนเหมือนกัน ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ไปมากกว่าแค่ต้นขา “ชั้นพูดแค่ว่า พวกเราอยากพบคุณ”


ผมจับข้อมือของเธอดันออกไปห่าง ๆ พยายามคิดในแง่ดีว่าจีน่าคงจะแค่เริ่มคุมสติตัวเองไม่อยู่


“คุณเมาแล้ว และผมคิดว่าผมไม่ควรอยู่ที่นี่จนดึกไปกว่านี้”

“ทำไม ลูกเมียรออยู่งั้นเหรอ”


ผมพยักหน้าส่ง ๆ ลุกขึ้นยืน บอกลาหุ้นส่วนแต่ละคนของเธอแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด ทีแรกดูเหมือนผมจะรอดพ้นจากสถานการณ์สุดทะแม่งนั่นแล้ว


“เดี๋ยวก่อน ซีงฮยอน”


แต่ จีน่า… เธอตามผมออกมา


“อะไรครับ” บางอย่างที่มากไปมันก็สร้างความน่ารำคาญได้ ผมเจตนาถอนหายใจแรง ๆ ให้เธอได้ยิน อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกว่า ผมไม่เล่นด้วย

“ให้คนของชั้นไปส่งคุณเถอะ”


เวลาเกือบตีสอง ผมกลับมาถึงบ้านในสภาพสร่างเมาแล้ว แจจินนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โทรศัพท์มือถือใต้หมอนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสามซึ่งผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงจะอยากตื่นมาดูว่าผมกลับบ้านแล้วหรือยัง


“ขอโทษนะ” ผมลดตัวนั่งยอง ๆ ที่ข้างเตียง เสียงหายใจเข้าออกที่ดังอย่างสม่ำเสมอสร้างความโล่งใจให้ผมไปหนึ่งเปราะ แต่ก็น่าเสียดาย “ถ้ากลับเร็วกว่านี้คงได้นายเช็ดตัวให้”


ถึงแม้ว่ามันเป็นการรบกวนเวลานอนแต่ผมก็จะไม่กดยกเลิกนาฬิกาปลุกของเขา หลังจัดการกับตัวเองเสร็จผมค่อย ๆ ทิ้งร่างกายอันแสนเมื่อยล้าลงบนเตียงและไม่ลืมที่จะหันไปกอดแจจิน กระซิบบอกข้างหูว่าผมรักเขามากแค่ไหน จากนั้นก็รอให้เจ้าตัวตื่นขึ้นมาพบว่าคนที่ตนเองรอตอนนี้ได้กลับมานอนอยู่ข้าง ๆ กันแล้ว


และ ผมจะได้จูบเขาอีกรอบ












...


“แล้วเจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ...”

“ผมจะพยายามทุกวิถีทาง”

“บางสิ่งที่มนุษย์ตนนั้นมีติดตัว
มันคือเหตุอันนำมาซึ่งการสูญเสีย”

“ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก
ไม่อีกแล้ว”


...












ผมลงบันไดมาถึงชั้นล่างพร้อมที่จะออกไปทำงาน วันนี้แจจินตื่นเช้าอีกแล้ว การทักทายที่ไม่ได้รับการตอบกลับทำให้ผมเอะใจเล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจอ่านอะไรบางอย่างในหน้าจอโน้ตบุ๊กอยู่

งั้นเอาเป็นว่า ผมไม่กวนก็ได้

แค่หอมแก้มสักฟอดก็พอ


บรรยากาศเช้านี้ที่ออฟฟิศไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิม เว้นเสียแต่เพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่งที่วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาพร้อมกับแท็บเล็ตในมือ


“ซึงฮยอน จริงไม่จริง”

“หืม อะไร” ผมมองหน้าหมอนั่นงง ๆ ก่อนจะหยิบของที่เขายื่นให้มาดู


เขาคือใคร? หวานใจคนใหม่ของนางเอกสาว
พาขึ้นรถกอดซบนัวเนีย



“เห็นหน้านายชัดมากเลยนะ แม้ว่าจะไม่ได้ช็อตที่พาดหัวมันเขียนก็เถอะ” น้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลมากขึ้นของเขามันทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์โมโห

“แน่ใจรึเปล่า เช็คเนื้อข่าวรึยัง”

“ห้ะ หรือว่านายกับจีน่--”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย” ผมรีบบอกปัด “เมื่อคืนทุกคนเมามาก พวกนั้นแม่งเทเหล้าให้ชั้นไม่หยุด”



ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ว่าถ้าตัวเองมีสติครบถ้วนผมจะไม่มีวันทำอะไรแบนนั้นเด็ดขาด แต่ในเมื่อมันมีภาพหลุดออกไปแล้ว และถ้าหากว่า…

ถ้าหากว่าแจจินเห็นข่าวนี้ล่ะ!


ครืด...ครืด…


“แจจิน!”


ผมล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงอย่างเร่งรีบ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะต้องถูกเคลียร์ให้จบโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจและไม่คิดมากเกินไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้น...


[ 2 ข้อความใหม่จาก GinA ]



ฮึ ไม่ใช่แจจินหรอกเหรอ


GinA: คุณเห็นข่าวนั่นแล้วใช่ไหม ไม่ต้องกังวลนะ ชั้นส่งคนไปจัดการเรียบร้อยแล้ว
GinA: เดี๋ยวพวกเขาก็ลืม


ผมใช้เวลางานที่เหลือของวันนี้ไปกับการนั่งนับถอยหลังรอเวลากลับบ้าน เอกสารกองยักษ์บนโต๊ะถูกหอบไปทำต่อตอนกลางคืนเนื่องจากสมาธิที่อยู่ไม่สุขตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทันทีที่รถจอดผมรีบดับเครื่องและวิ่งเข้าบ้าน แจจินกำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับผมเพียงครู่เดียวจากนั้นก็หันกลับไปสนใจซุปในหม้อต่อ


เท่านี้ผมก็รู้แล้ว ว่าแจจินรู้


ตลอดช่วงที่ทานมื้อค่ำด้วยกันผมพยายามหาจังหวะที่จะเปิดประเด็น ท่ามกลางความเงียบ ในวินาทีที่ผมกำลังจะอ้าปาก แจจินลุกขึ้นยืน หยิบเก็บถ้วยชามที่เราเพิ่งกินเสร็จเพื่อที่จะเอาไปล้าง ท่าทีเพิกเฉยเหมือนกับว่าผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ ณ ตรงนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่ ผมเดินตามเขาเข้าไปอีกห้อง รวบรวมความตั้งใจที่สั่งสมมาทั้งวันและพูดออกไปว่า


“นายก็รู้ว่าชั้นมีนายแค่คนเดียว...”


แจจินยังคงล้างจานต่อไป ผมจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองถ้าหากสุดท้ายแล้วเราสองคนคุยกันไม่รู้เรื่อง


“เมื่อคืนชั้นเมามาก ชั้นขอโทษ” ผมก้าวเท้าเข้าไปใกล้ แผ่นหลังของคนรักอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือ “แต่อะไรก็ตามที่นายเห็นในเว็บนั่น มัน...ไม่ใช่ชั้นคนนี้ที่มีสติครบถ้วน”


เขานิ่งไป จานชามที่ล้างเสร็จแล้วยังคงวางนอนอยู่ในซิงค์ แจจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์ข้อความอยู่สักพักแล้วก็กดส่ง


ครืด...ครืด…


JJღ♥: ก็ถ้าอยู่บ้านมันน่าเบื่อ นายอยากจะออกไปเที่ยวกับใครชั้นก็ว่าอะไรไม่ได้อยู่แล้ว


“มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย นั่นชั้นไปทำงานนะ” ผมรู้สึกไม่โอเคเลยที่ถูกเขาประชดใส่แบบนี้ “นี่เราคุยกันคนละประเด็นแล้วรึเปล่า”


ครืด...ครืด…


JJღ♥: ชั้นไม่ได้สนใจเรื่องดาราคนนั้น ไม่สนใจว่านั่นจะเป็นงานหรือแค่กิจกรรมสนุก ๆ แต่สิ่งที่นายทำมันทำให้ชั้นต้องกลับมาถามตัวเอง


ครืด...ครืด...


JJღ♥: ไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว คืนนี้ชั้นไม่อยากคุยกับนายแล้ว


เลวร้ายยิ่งกว่าการเคลียร์กันไม่ได้ก็คือมีใครคนใดคนหนึ่งตัดจบแบบดื้อ ๆ ผมมองตามแจจินที่กำลังวิ่งขึ้นห้องนอนไป เขาไม่ร้องไห้ให้ผมเห็น ซึ่งนั่น...เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด


แต่สิ่งที่นายทำมันทำให้ชั้นต้องกลับมาถามตัวเอง’ ผมอ่านข้อความประโยคนั้นซ้ำไปมา ความกังวลก่อตัวขึ้นอีกครั้งและมากกว่าครั้งไหน ๆ






ในเมื่อต้องพยายามทุกวิถีทาง ผมควรทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้แจจินคิดไกลเกินไปกว่านี้


ทำอะไรสักอย่าง...ให้เขา






ครืด...ครืด…


เวลาประมาณบ่ายโมงของวันเสาร์ ผมที่เพิ่งตื่นรีบคว้าโทรศัพท์มือถือจากข้างหัวเตียงมาเช็คข้อความเข้าตามนิสัย



[ ไม่มีข้อความใหม่จาก JJღ♥ ]



นี่มันผ่านมาสามวันแล้วนะแจจิน เราจะเงียบใส่กันแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่


SHღ♥: วันนี้แจจินของชั้นหยิบอะไรมาอ่านน่ะ


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นแจจินขึ้นมานอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงในวันหยุด อากาศยามบ่ายที่ผมรู้สึกว่ามันอุ่นกว่าวันอื่น ๆ ทำให้เขาเลือกที่จะใส่แค่กางเกงตัวเดียวอยู่บ้าน หน้ากระดาษของนิยายปกสีฟ้าชื่อเรื่องไม่คุ้นตาเท่าไหร่นักถูกเปิดไปเรื่อย ๆ ก่อนที่เขาจะหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความของผม

แล้วก็วางมันกลับลงไปที่เดิม


“ปรัชญาอีกแล้วเหรอ นายดูจะชอบแนวนี้มากนะ” ผมพยายามพูดคุยกับเขาถึงแม้ว่ามันอาจเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย


ผมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้แจจิน กลิ่นสบู่ขวดใหม่ที่เราเพิ่งเปลี่ยนมาใช้ด้วยกันนั้นติดทนกว่าที่คิด ผมอยากสูดดมมันให้ใกล้กว่านี้แต่รู้ตัวอีกทีแก้มของผมก็แนบอยู่กับไหล่เขาเสียแล้ว


แจจินไม่ต่อว่าและไม่สนใจ


“ตัวเอกชื่ออีธานเหรอ” ผมทำตัวสอดรู้สอดเห็น “เขาเป็นคนยังไงน่ะ หยิ่งเหมือนแจจินของชั้นมั้ย”


รอบนี้ผมเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของแจจิน คิ้วที่กระตุกเล็กน้อยของเขาทำให้ผมรู้ว่าประโยคแหย่เมื่อครู่ของตัวเองไม่ได้ถูกละเลย


เป็นไปตามแผน


“แล้วเขา ลึกลับ...” นอกจากสอดรู้สอดเห็นแล้ว มือของผมยังค่อย ๆ สอดเข้าไปข้างในขอบยางยืดกางเกงสีเบจตัวนั้น “...น่าค้นหาเหมือนแจจินของชั้นมั้ย”


ไม่เป็นไปตามแผน แจจินพลิกตัวหนีผมไปอย่างดื้อ ๆ ผมนอนมองแผ่นหลังของเขาอย่างเจ็บใจและผิดหวัง หนังสือนั่นมันน่าสนใจกว่าผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


ยังไงซะ ผมจะยอมแพ้ไม่ได้ ท่าทางแบบนี้อาจเอื้อเฟื้อให้ผมทำอะไรสะดวกขึ้น ขอเพียงแค่ต้องวางแผนให้ดี


“นายเห็นอีธานสำคัญกว่าซง ซึงฮยอน อย่างงั้นเหรอ” ผมยังคงวอแวอยู่แถว ๆ กลางลำตัวของเขา ส่วนแจจินนั้นก็ไม่ได้ปฎิเสธ เขางอนผม เขาแค่ต้องการให้ผมง้อ “ขนาดซง ซึงฮยอน ยังไม่เห็นว่าจะมีใครสำคัญไปกว่าอี แจจิน เลย”


มันได้ผล ถึงเวลาที่อีธานจะต้องยกธงขาวและบอกลาแฟนของผมไปสักพัก ร่างกายเขาเริ่มตอบสนองต่อสัมผัสต่าง ๆ ที่ผมมอบให้ ผมจูบ จูบ และจูบผิวกายกลิ่นดอกไม้ป่าแสนเลี่ยนนั้นอย่างยากที่จะหยุด แจจินยังไม่หันกลับมาแต่สองขาที่อ้าออกช้า ๆ นั่นก็หมายถึงประตูแห่งโอกาสได้เปิดต้อนรับผมแล้ว


เราไม่ควรจะรีบร้อนใช่ไหม


เสียงอึกอักในลำคอชวนให้ผมคลั่งผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นไปอีก ปากที่ประกบอยู่ไม่สามารถละออกจากกันได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แจจินยอมให้ผมทำทุกอย่าง เราคอยเตือนกันอยู่เรื่อย ๆ ว่าอย่าเร่ง


“ชั้นไม่เคยเบื่อนายเลยนะแจจิน
มีแต่จะหลงนายมากขึ้น...”


แขนข้างหนึ่งที่โอบบ่าผมรั้งดึงมันไว้เพื่อยกตัวเองขึ้นมา เขาทำให้ผมเกิดความรู้สึกอย่างที่เพิ่งจะพูดไป

หลง…


เหมือนได้เยาะเย้ยศัตรูหัวใจของตนเองอีกครั้ง หนังสือนิยายเล่มเดิมถูกเปิดออกทว่าไม่ได้มีใครอ่านมัน อุปกรณ์ปิดตาแบบลวก ๆ ช่วยปลุกอารมณ์ให้คนรักของผมระหว่างที่กำลังรับเอาความเสียวซ่านจากร่างกายเบื้องล่าง ผมปรนเปรอเขาภายใต้ผ้าห่มผืนบางที่คลุมเราไว้อยู่

เนื้อตัวของแจจินร้อนรุ่มยิ่งกว่าอากาศด้านนอก ความต้องการเพิ่มพุ่งจนการกระทำแค่นี้อาจไม่เพียงพอ ผมออกมาจากสถานที่แสนอบอ้าวเพื่อพาแจจินไปหาอะไรที่ดีกว่า อีธานหมดประโยชน์โดยสมบูรณ์เมื่อการมองหน้ากันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ข้อเท้าเล็กเกี่ยวกันแน่นบนเอวของผม เสียงหายใจถี่รัวไม่เป็นจังหวะคือสิ่งเร้าชั้นดีสำหรับพวกเราทั้งคู่

เล็บมือกดเกร็งกับบ่าพร้อมด้วยริมฝีปากชื้นที่ยื่นมาดูดดุนกันและกัน ผมกับแจจินปลดปล่อยในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา เขาน้ำตาซึมแต่เดาว่าไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องเข้าใจผิดเมื่อหลายวันก่อน เหงื่อที่ผุดตามผิวถูกลูบไล้ให้ระเหยแล้วก็ปิดท้ายด้วยการนอนกอดกัน เหมือนทุกที


“เย็นนี้ทำอะไรอร่อย ๆ ให้กินหน่อยสิ” ผมยิ้มหลังจากเห็นแจจินยิ้ม


แหม จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง นี่เป็นรอยยิ้มแรกในรอบสามวันของเขาเลยนะ


“คิดเมนูไม่ออกเหรอครับเชฟ” เห็นสีหน้าคิดไม่ตกแบบนั้นแล้วระทวยจริง ๆ


งอนกันมาสามวันผมก็ได้กินแต่ของจืด ๆ ทั้งสามวัน มันน่าเศร้ามากนะครับถ้าได้ลองมาเป็นคนบ้านนี้ ผมนอนเขี่ยไรหนวดแจจินเล่นพลางนึกหาอาหารที่อยากกิน จากนั้นก็อ๋อขึ้นมาได้อย่างนึง


“งั้นเอาอันนี้ละกันนะ
พริกหวานยัดไส้”






━   TBC   ━