April 11, 2018

[FANFIC/Part 2] FTISLAND 'Kissing Booth' (SEUNGJAE)

  
  GENRE:     A/U, Rom-Com
  PAIRING:   SONG SEUNGHYUN x LEE JAEJIN
  RATING:    PG-13
  



Character reference:











 -  -  -   -  -  -  -




     “ไม่เข้าใจ” ร่างสูงรุดเข้าไปหาแจจิน มือสองข้างดันไหล่เล็กจนแผ่นหลังชิดบานประตู “แล้วให้เวลากันหน่อยไม่ได้เลยเหรอ”

     คนถูกถามเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่เป็นอยู่มันดูงี่เง่า แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อตั้งแต่พบกันวันนี้ซึงฮยอนยังไม่เห็นทำอะไรให้เขาพอใจเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

     “ผมไม่มีวันชอบคุณหรอก”
     “รู้ได้ยังไง”
     “แล้วคุณมั่นใจได้ยังไง”
     “ให้อีกสิบเจ็ดจูบที่เหลือพิสูจน์สิ”

     แต่ว่าทั้งคู่เพิ่งจะจูบกันไปแค่สองรอบ… จากยี่สิบ
     ไม่ใช่เหรอ

     “ฝันดีนะ”

     ร่างกายเจ้าของบ้านโดนแช่แข็งไปชั่วขณะเมื่อริมฝีปากอิ่มถูกสัมผัส
     ด้วยปากของอีกคน

     เป็นครั้งแรกที่ซึงฮยอนจูบแจจินก่อน


     ‘บ้าจริง...
     หนนี้เขาทำได้ไม่เลวเลย’


     ร่างบางแทบเพ้อไปกับกู๊ดไนท์คิสแห่งค่ำคืนนี้ และกว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าในห้องนั่งเล่นตอนนี้เหลือแค่เขาอยู่คนเดียว แขกรูปหล่อของแจจินก็สตาร์ทรถขับออกไปได้ร่วมสิบนาทีแล้ว



💋



     คำว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของนักศึกษาปี 2 คนนี้ในเมื่อตารางเรียนเขียนไว้ชัดเจนว่าเขามีคลาสเช้า ชายหนุ่มล็อคบ้านเสร็จเรียบร้อยก่อนจะเดินออกมาที่รั้วเพื่อพบกับ...

     ออดี้คันเดิมที่เพิ่งแล่นเข้ามาจอดติดเครื่องอยู่ตรงหน้า และคนขับที่เปิดประตูรถออกมาพร้อมใบหน้าของคนเพิ่งตื่นนอนที่ยังดีว่ามีแว่นกันแดดช่วยปกปิดสภาพงัวเงียไว้ได้หน่อย

     “ซึงฮยอน มาทำไ---”

     คำถามที่หลุดออกไปได้ไม่ถึงครึ่งประโยคถูกขัดด้วยจูบรับวันใหม่ ทีแรกจะโวยวายแต่เพราะสเปรย์ระงับกลิ่นปากรสเชอร์รี่(ที่ซึงฮยอนคงจะเพิ่งซื้อมาใช้)มันดันชวนให้แจจินอยากลิ้มรสชาติหอมหวานภายในนั้นต่อ

     “เจ้าเล่ห์” คนตัวเล็กเลียริมฝีปากล่างไปมา ลิปบาล์มที่ทาไว้หลุดไปหมดแล้วเพราะไอ้โย่งลูกเจ้าสัวคนนี้
     “เหลืออีกสิบหกจูบนะครับ”

     รอยยิ้มกวนบาทาถูกส่งมาตอกย้ำความเป็นผู้ชนะ แต่ร่างสูงก็ไม่ปล่อยให้แจจินทำหน้าบูดใส่เขาได้นานนัก มือสองข้างของคนตัวใหญ่รีบเอื้อมออกไปทำท่าจะช่วยถือหนังสือเรียนให้...

     หรือเรียกอีกอย่างว่า ง้อ


     “นี่อย่าบอกนะว่ามารอผมตั้งแต่เช้า”
     “ก็นายเล่นไม่ให้คอนแทคอะไรชั้นเลย”
     “คุณไม่ขอเองหนิ”

     สองหนุ่มถกเถียงกันตลอดทางระหว่างที่ซึงฮยอนขับรถไปส่งแจจินที่มหาวิทยาลัย สุดท้าย คนโดนจีบก็ยอมให้เบอร์โทรฯกับคนที่ตามจีบ

     “เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วมารอชั้นตรงนี้นะ”
     “คุณไม่ทำงานทำการเหรอ” นี่น่าจะเป็นคำพูดที่สุภาพที่สุดที่เขาคิดได้
     “ชั้นมีเวลาให้นายเสมอแหละ”

     กระจกรถเลื่อนขึ้นปิดเห็นเงาสะท้อนของผู้โดยสารหน้าหวานกำลังยืนเบ้ปากให้กับประโยคเอาอกเอาใจเมื่อกี๊

     “เชอะ เป็นตอนนี้ก็พูดได้สิ” แจจินบ่นมุบมิบอยู่คนเดียว “ถ้าคบกันแล้วจะยังเล่นใหญ่แบบนี้อยู่มั้ย”



💋



     สองสัปดาห์ผ่านไปไวจนนึกว่าโกหก ในห้องเลคเชอร์ นักศึกษาชายคนหนึ่งนั่งเหม่อลอยตาจ้องจอโปรเจคเตอร์นิ่งเหมือนคนหลับใน วันนี้โชเฟอร์ประจำตัวไม่ได้มาส่งเขาที่นี่เหมือนอย่างเคยด้วยเหตุผลว่ามีประชุมด่วน ทำให้แจจินต้องนั่งรถโดยสารมาเอง

     ...

     “ชอบใช่ไหม”
     “อะไร”
     “กลิ่นเชอร์รี่”

     กลางสี่แยกไฟแดงที่ตัวเลขบนนาฬิกานับถอยหลังมีจำนวนมากถึงสามหลัก ซึงฮยอนเลือกที่จะฆ่าเวลาด้วยการเปิดประเด็นเรื่องเมาธ์สเปรย์ที่เขาใช้

     “อือ” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โกหกแต่คนข้างๆก็ยังต้องรักษาอีโก้เอาไว้ “ก็ดี”
     “แค่ก็ดีเองเหรอ วันนั้นลิ้นนายแทบจะล้วงไปถึงคอหอยชั้นแล้ว”
     “ซึงฮยอนทำไมคุณชอบพูดอะไรทุเรศๆ”
     “ทุเรศตรงไหนหว่า... เอ๊ะ หรือว่าที่เคลิ้มแบบนั้น” เขาหันกลับมาแกล้งทำหน้าตาใสซื่อ “เป็นเพราะชั้นจูบดี”
     “หึ คุณน่ะไม่ได้เสี้ยวของคนที่ผมเคย---”

     ตายล่ะ...

     “อ๋อ ประสบการณ์เยอะสินะ” น้ำเสียงของคนพูดแผ่วลงแต่ฟังดูกระด้างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “เอาเถอะ อยู่ที่โหล่ก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสได้ถูกจัดอันดับ”
     “ผม ขอโทษ”

     แจจินอยากจะตบปากพล่อยๆของตัวเองที่เผลอไปพูดจาทำลายความรู้สึกคนอื่นแบบนั้น 

     ซึ่ง เอาจริงๆซึงฮยอนก็ไม่ได้จูบแย่แล้วด้วยซ้ำ

     “อะไรเนี่ย เพิ่งเขยิบได้นิดเดียวเองแดงอีกละ”


     อีก 120 วินาทีที่ต้องรอ…

     ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ค่อยรื่นรมย์เท่าไหร่นักบนรถคันนี้


     “มันก็ พัฒนากันได้นี่นะ”
     “…”

     นแก่กว่ามองตามแจจินที่กำลังเปิดช่องเก็บของและหยิบเม้าธ์สเปรย์ขวดจิ๋วออกมาถือ

     “คุณมีเวลาเก้าสิบวิ” มือเล็กกดหัวฉีดพ่นของเหลวกลิ่นหอมใส่ปากสองทีก่อนจะหันหน้าไปหาเขา “ที่จะล้วงคอหอยผมกลับบ้าง”


     เล่นเปิดทางให้ง่ายๆแบบนี้มีเหรอจะยอมปล่อยให้โอกาสหลุดไป ดีพคิสความยาวนาทีครึ่งเริ่มขึ้นอย่างไม่วู่วาม

     แต่ก็ไม่อ่อนโยน


ปี๊น ปี๊นนนน!


     สองคนหัวเราะคิกคักหลังเสียงแตรเกรี้ยวกราดจากรถคันด้านหลัง ซึงฮยอนเหยียบคันเร่งในจังหวะที่ทั้งคู่กำลังละริมฝีปากออกจากกัน เชอร์รี่มินต์รสหวานสดชื่นยังคงอบอวลอยู่ในความรู้สึกของแจจินจนร่างเล็กต้องนั่งกลั้นยิ้มไปตลอดทาง

     ...

     แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเรียกสติชายหนุ่มให้หลุดจากห้วงภวังค์ ซึ่งคนที่ส่งข้อความมาหาเขาในเวลานี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

     [ คนขี้ตื๊อ: ตั้งใจเรียนนะ อย่ามัวแต่คิดถึงชั้นอยู่ล่ะ ]

     “เฮอะ” แจจินหลุดขำ


ครืด…


     [ คนขี้ตื๊อ: 😍
         คนขี้ตื้อ: 💋
         คนขี้ตื๊อ: เหลืออีก 14 ]

     อะไร แบบนี้ก็นับเหรอ!

     เพื่อนเกือบครึ่งคลาสรวมทั้งอาจารย์หันขวับมายังต้นเสียงโวยวายเมื่อกี๊จากเขา แจจินรีบกล่าวขอโทษแล้วก้มหน้าก้มตาภาวนาให้การเรียนวันนี้จบไปเร็วๆ



💋



     “ขอโทษที่ให้รอนาน”

     ชายร่างโปร่งในชุดสูทสีเทาอ่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหานักศึกษาที่นั่งปากคว่ำอยู่ในร้านกาแฟชั้นล่างของห้าง เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มที่แจจินต้องคอยซึงฮยอนเนื่องจากเจ้าตัวยังเคลียร์งานข้างบนไม่เสร็จ

     “ผมจะโกรธคุณก็ได้นะ”
     “งั้นชั้นก็จะง้อด้วยทุกอย่างที่นายอยากได้เลย”

     คู่เดทของนักบริหารหนุ่มหันไปยิ้มให้กำแพงเพราะความเขิน ถ้าคำพูดในหัวสามารถเด้งออกมาข้างนอกได้ พื้นที่ทุกส่วนของร้านคงก็จะมีแต่คำว่า ‘ไอบ้า’ ลอยเต็มไปหมด

     แต่มันดันหายโกรธตั้งแต่เห็นหน้าแล้วไง


     “ถ้าคุณไม่เคยมีแฟนมาก่อน
     งั้น นี่ก็เป็นเดทแรกของคุณรึเปล่า”

     แสงไฟจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแผ่ความสว่างมาถึงใบหน้าของซึงฮยอนที่กำลังทอดมองบรรยากาศเมืองหลวงยามค่ำคืน ลมแรงพัดเอาผมที่จัดทรงไว้ดิบดีปลิวจนดูยุ่งเหยิง

     “ชั้นเคยมีเดทแรกกับผู้หญิง” ประโยคนี้ทำคนฟังสะอึกไปเล็กน้อย “ตอนอยู่มัธยม เป็นลูกของเพื่อนแม่”
     “คุณไม่ชอบเธอเหรอ”
     “มันไม่ใช่ว่าเธอไม่ดี แต่ ชั้น...” ร่างสูงถอนหายใจ “ไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นกับผู้หญิงเลย”

     แจจินรู้สึกได้ว่าอีกคนมีความกังวลบางอย่างอยู่ในใจ
     และมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสองเต็มๆ

     “แต่ว่าพ่อคุณอยากให้คุณมีลูก”
     “ชั้นเกิดมาในจุดที่ต้องแบกรับความหวังของครอบครัว”
     “แล้วคุณจะทำยังไง” คนถามมีสีหน้าลุ้นเอาการ

     ซึงฮยอนคงไม่ได้พาแจจินมาเที่ยวสถานที่โรแมนติกแบบนี้เพื่อบอกว่าจะเลิกจีบเขาแล้วหรอกมั้ง

     “ว่าจะยกบริษัทให้เซฮยอน” เขายกมือลูบหน้าเหมือนกับว่าการตัดสินใจนี้อาจยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก “ถึงมันจะไม่ค่อยเอาไหน ในสายตาป๊าอะนะ”
     “เหมือนคุณโยนความกดดันให้เขา”
     “นิดนึง แต่ยังไงเซฮยอนก็ไม่ได้บริหารเองหรอก”
     “ยังไง”
     “เจ้านั่นมันไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว” คิดแล้วก็ขำนะ ถ้าคาสโนว่าตัวพ่อที่วันๆเอาแต่เปย์ผู้หญิงต้องมาทำอะไรอย่างนั่งโต๊ะเซ็นเอกสาร หรือประชุมงานกับคนต่างชาติ “แต่ถ้าลูกมันอยากทำ ฉันก็ไม่ขัด”

     ออกจะกระอักกระอ่วนนิดหน่อยนะที่ต้องมาจับเข่าคุยประเด็นซีเรียสกันในวันออกเดท
     
     แต่อย่างน้อยแจจินก็ได้รู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้น

     “แล้วนายล่ะ” ซึงฮยอนเปลี่ยนหัวข้อ “เล่าเรื่องของนายบ้างสิ”
     “หืม”
     “ถ้าไม่นับชั้น ตอนนี้ มีใครจีบนายอยู่รึเปล่า”

     ก่อนหน้านั้นชีวิตของฝ่ายที่โดนถามมีแค่เรียนกับงาน แชทนับสิบที่ดองเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาได้เปิดอ่าน

     นับประสาอะไรกับหลังรู้จักกันที่ทุกวันจะต้องมีหนุ่มขับรถมารับ-ส่งแจจินถึงหน้าอาคารเรียน

     “ไม่มีใครคิดว่าผมโสดอีกแล้วล่ะ” ร่างเล็กหันหน้าหนีสายตาคาดเค้นของอีกคน “เพราะมีตาแก่คนนึงตามตื๊อไม่หยุด”
     “ใครตื๊อนาย ชั้นตามทวงจูบที่เคยซื้อไว้ต่างหาก”
     “โคตรไม่แฟร์เลย แทนที่จะได้เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาหาผมบ้าง” คนเด็กกว่าตัดพ้อยิ้มๆ เงยหัวมองซึงฮยอนที่ทำเนียนเขยิบตัวเข้ามาใกล้...มาก


     ไม่รู้ทำไมอากาศค่ำคืนนี้ถึงได้เย็นกว่าปกติ และอ้อมกอดก็กลายเป็นอะไรอย่างเดียวที่สามารถช่วยบรรเทาความหนาวได้ คนตัวใหญ่เบียดกายดันให้หลังของแจจินถอยไปชนระเบียงริมน้ำ สองแขนที่โอบเขาไว้ยังไม่ทำให้ใจเต้นแรงเท่าสายตาเป็นประกายของซึงฮยอนที่กำลังจ้องตรงมา


     สิ่งแวดล้อมรอบตัวหมดความหมายไปพร้อมๆกับช่วงเวลาอันเงียบนิ่ง...


     เป็นจังหวะแสนเหมาะเจาะ

     ที่ทั้งคู่จะจูบกัน


     “งั้นชั้นจะรีบทำให้มันจบ” เสียงกระซิบดังขึ้นในขณะที่อีกคนยังหลับตาอยู่ ความเคลิบเคลิ้มที่ถูกชะงักกะทันหันนั้นเรียกท่าทีโหยหาจากแจจิน “จะได้ไม่รบกวนนายอีก”
     “พูดอะไรของคุณ” มือเล็กเอื้อมขึ้นไปจับประคองใบหน้าของชายที่เขาเคยพูดจาดูถูกใส่ เหตุใดความรู้สึกเมื่อแรกพบถึงยังไม่เคยแปรเปลี่ยนแม้ว่าเขาจะพยายามโกหกตัวเองเท่าไหร่ก็ตาม “จริงอยู่ที่ผมยอมตกลงเพราะต้องการเงิน แต่ผมไม่ได้อยากให้มันจบ”
     “...”
     “ผมจูบกับคุณ
     เพราะว่าผม ก็ชอบคุณ”

     ร่างบางกระเถิบตัวขึ้นไปนั่งบนระเบียงปูนด้านหลังพร้อมกันกับที่ซึงฮยอนโน้มศีรษะเข้าประกบริมฝีปากของแจจินเป็นหนที่สอง ขาเรียวคล้องเกี่ยวลำตัวอีกฝ่ายแน่นซะจนทุกส่วนของทั้งคู่แนบชิดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ


     “ชั้นจะไม่ใช่คนตายด้านสำหรับนายอีกแล้วใช่มั้ย”

     คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ลูบแก้มเปื้อนยิ้มของคนขี้ตื๊อด้วยความรู้สึกเอ็นดู

     “ไม่รู้สิ แต่ที่แน่ๆอะ...” แจจินส่งแววตาขี้เล่นไปให้อย่างตั้งใจกลั่นแกล้ง “คุณ...ต้องไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยนะ”



11


10


9


8


7


6


5


4


3


2


1



     “ครบห้านาทีแล้ว”


     “งือ…นับยังไง” คนบนเตียงส่งเสียงอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม “เหลืออีก ตั้งสิบนา--”
     “เราจะเลทไม่ได้ วันนี้วันสำคัญนะ” ซึงฮยอนเดินมานั่งลงข้างๆกองผ้านวมที่มีแจจินซุกตัวอยู่ในนั้นอีกที

     ไม่รู้เจ้านี่จำได้รึเปล่าว่าทั้งคู่เคยทำข้อตกลงอะไรกันไว้ คนตัวเล็กยังไม่มีแววว่าจะตื่นโดยง่ายทั้งๆที่ปกติก็ไม่ใช่คนลุกยาก ในที่สุดเจ้าของห้องต้องตัดสินใจเอื้อมมือไปเขย่าร่างนั้นรัวๆจนแจจินร้องโอ๊ยดังลั่น

     แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะเขาหงุดหงิดอยากนอนต่อหรอกนะ

     “อ...โอ๊ย! ซึงฮยอน!”
     “ถ้าไม่ตื่น แด๊ดดี้จะทำโทษแล้วนะ”

     น้ำเสียงเรียบนิ่งฉุดเรียกความทรงจำแสนผาดโผนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนให้กลับมาอีกครั้ง อีกฝ่ายรีบกดหน้าลงกับหมอนเพื่อซ่อนอาการขวยเขินก่อนจะเขยิบตัวหนีคนเจ้าเล่ห์ไปยังฝั่งซ้ายของเตียง

     “ตอนผมลุก” เท้าเล็กที่เขี่ยไปโดนอุปกรณ์บางอย่างบนที่นอนยิ่งทำให้แจจินหน้าแดงมากกว่าเดิม “อย่ามองนะ”
     “ทำไม” ซึงฮยอนถามขำๆ “ก็เห็นกันมาเป็นร้อยรอบแล้ว”
     “แต่...เมื่อคืนคุณฟาดผมไม่ยั้ง” ร่างบางยังคงไม่กล้าหันไปสบตาคนข้างหลัง “ฮือ แดงมากแน่เลย”
     “แด๊ดดี้โซซอรี่นะครับ” มือหนาลูบไล้ผ้านวมสีขาวสะอาดตรงจุดที่เขาคิดว่าน่าจะเป็น ก้น ของอีกคน
     “ไอคนซาดิสม์”

     เสียงหัวเราะสะใจดังให้หลังแขกเจ้าประจำของบ้านที่กำลังวิ่งดุ๊กดิ๊กตรงไปยังห้องน้ำ รอยแดงบริเวณบั้นท้ายกลมปรากฏให้เห็นเด่นชัดเป็นการตอกย้ำความไม่ธรรมดาของกิจกรรมเมื่อคืนกับของเล่นชิ้นใหม่ที่แจจินต้องพูดหว่านล้อมอยู่นานกว่าซึงฮยอนจะซื้อให้


     “วันนี้นายต้องดูดีที่สุดในมหาลัย”
     “อันนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว”

     สองคนส่งยิ้มให้กันผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เนคไทที่ยังเนี้ยบไม่พอดึงความสนใจจากคนที่กำลังดูแลผมเผ้าให้เขาอยู่จนต้องสั่งให้แจจินลุกขึ้นยืน

     “หันหน้ามาทางนี้ซิ”
     “ครับ คุณสไตล์ลิสต์” ร่างเล็กแกล้งทำล้อเลียนแต่ก็ต้องรีบปิดปากอมยิ้มเมื่อรู้ว่าตอนนี้ทั้งคู่อยู่ใกล้กันมาก
     “เขินเหรอ” ซึงฮยอนตรวจเช็คความเรียบร้อยทั้งหมดอย่างกับเป็นแม่ “ช่วงนี้นายหน้าแดงบ่อยเหลือเกินนะ บัณฑิตน้อย”
     “คิดไปเองแล่ว” ไม่รู้ว่าจะโกหกไปได้อีกนานแค่ไหน ใจมันเต้นแรงขึ้นทุกทีเวลาอยู่กับหมอนี่ แถมวันนี้เขายังแต่งตัวดีกว่าปกติด้วย “ผมเขินตัวเองต่างหาก”


     อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแจจินจะสามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองเรียนจบแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องจัดชุดใหญ่ก็เตรียมไปเพื่อถ่ายรูปกับครอบครัวและเพื่อนๆโดยเฉพาะ

     ไม่ใช่แค่เขาที่ตื่นเต้นหรอก เจ้ายักษ์นี่ก็นอนแทบไม่หลับมาทั้งคืนจนต้องชวนหาอะไรทำฆ่าเวลา(?)ด้วยเหมือนกัน


     “สามปีแล้วเหรอเนี่ย” ร่างสูงอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครพูดอะไรคว้าแจจินเข้ามากอดแน่น
     “กว่าจะผ่านมาได้ นึกว่าจะตายก่อนซะอีก” ใบหน้าเล็กซบกับบ่ากว้างพลางหลับตานึกถึงช่วงเวลายากลำบากในรั้วมหาลัยที่มีซึงฮยอนคอยช่วยเหลือให้กำลังใจมาตลอด
     “เมื่อไหร่จะได้เป็นแฟนกันสักทีนะ” คนแก่กว่าพูดยิ้มๆโดยที่ไม่รู้ว่าคนในอ้อมแขนของเขากำลังฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

     ว่าที่บัณฑิตหนุ่มหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอกก่อนจะเขย่งตัวมอบจูบที่เป็นตัวแทนของคำขอบคุณและขอโทษ

     “เหลืออีกหนึ่งจูบ...” เสียงกระซิบที่ต้องการจะย้ำเตือนเล็ดลอดมาจากปากอิ่ม
     “มาตั้งแต่สามปีที่แล้ว”


     สัญญาการบริจาคถูกระงับไว้ชั่วคราวเมื่อทั้งคู่ไม่อยากให้ความสัมพันธ์รูปแบบนี้ไปถึงจุดสิ้นสุด แต่ใครคนหนึ่งก็ดันปากแข็งเกินกว่าจะยอมรับว่าตัวเองก็กำลัง ตกหลุมรัก ด้วยเช่นกัน

     นั่นทำให้ซึงฮยอนต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าเพื่อเอาชนะใจแจจิน หลังรายนั้นบอกว่าจะตัดสินใจและให้คำตอบกับเขาได้ในวันจบการศึกษา


     คำตอบ...ที่มาพร้อมกับอีกหนึ่งจูบที่เหลือ



💋



     มหาวิทยาลัยคนเยอะกว่าวันธรรมดาหลายเท่า รุ่นพี่รุ่นน้องและบรรดาญาติๆแห่กันมาแสดงความยินดีกับบัณฑิตรุ่นล่าสุด หนึ่งในนั้นมีครอบครัวของแจจินอยู่ด้วย

     “นี่ แฟนเราหายไปไหนแล้วอะ” แชวอนแกล้งสะกิดเอวพี่ชายให้สะดุ้งเล่น
     “แฟนเฟินอะไรเล่า”

     น้องสาวจอมกวนหัวเราะคิกคักกับมุกแหย่ที่เธอเล่นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แชวอนส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมแจจินจะต้องเล่นตัวกับนักธุรกิจพันล้านคนนั้นมากมายขนาดนี้ เพราะในสายตาของคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างซึงฮยอนกับพี่ของเธอมันก็เรียกว่า คู่รัก ดีๆนี่เอง

     “เมื่อคืนก็ไปอยู่กับเค้า อาทิตย์ก่อนก็ไปอยู่กับเค้า วันๆก็แทบจะหายใจเข้าออกเป็นเค้า ถามจริง แอบไปแต่งงานกั--”
     “มันเรื่องของพี่หน่า” ชายหนุ่มรีบขัดก่อนที่น้องจะเพ้อเจ้ออะไรไปมากกว่านี้ “ไม่ยุ่งดิยัยบ๊อง”
     “อะจ้า เยอะแบบนี้ระวังพี่ซึงฮยอนเค้าเบื่อเอานะ เจ้าคนปากแข็ง”


     เออ แล้วนี่ก็หายไปไหนไม่รู้
     หลังจากพาแจจินมาอยู่กับพ่อแม่ ซึงฮยอนก็ขอตัวไปทำธุระอย่างอื่นเป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้ว

     แอบหนีไปหาหนุ่มคณะอื่นรึเปล่านะ
     คอยดูเถอะ กลับมาเมื่อไหร่เขาจะแกล้งงอนไม่พูดด้วยสักครึ่งวัน


     “แจจินนี่”

     เสียงเรียกชื่อจากชายคนหนึ่งทำให้ร่างเล็กตาลุกวาว

     “เซฮยอน! นายมาหาชั้นด้วยเหรอ!” แจจินหมุนตัวไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง น้องชายคน(ไม่)สนิทของซึงฮยอนแต่สุดจะซี้กันกับเขากำลังเดินตรงเข้ามา อีกทั้งยังมีดอกไม้ช่อโตสองช่อที่ราคาไม่น่าจะถูกๆติดมือมาด้วย
     “ยาหยีของพี่ชายเรียนจบทั้งทีจะพลาดได้ยังไงเล่า” ลูกคนเล็กของเจ้าสัวพูดพลางยื่นของขวัญแสดงความยินดีให้ “อีกช่อนี่ของป๊านะ อ่า เขาฝากคำขอโทษมาด้วยที่มาให้กับตัวไม่ได้”
     “ขอบคุณมากเลยนะ”

     ทั้งๆที่เจ้าสัวซงต้องการทายาทสืบทอดกิจการ แต่ครอบครัวของซึงฮยอนก็ยอมร้บความสัมพันธ์ของพวกเขาตั้งแต่ที่ลูกชายคนโตไปสารภาพกับที่บ้านว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง แถมเซฮยอนที่แรกเริ่มเดิมทีนั้นชอบแซวพี่ตัวเองว่าเป็นเกย์ (ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะคิดถูกมาตลอด) ก็กลับเข้ากันได้ดีกับแจจินอย่างนึกไม่ถึง

     “เจ้านั่นล่ะ” เป็นคนที่สองแล้วที่ถามถึงไอ้บ้าตัวโย่งซง ซึงฮยอน
     “ไม่รู้สิ” แจจินทำปากยู่เซ็งๆ
     “ถ่ายรูปกันหน่อยนะ เดี๋ยวจะส่งให้มันดู ซึงฮยอนคงไม่คิดว่าชั้นจะมา”

     เซฮยอนเรียกแชวอนมากดชัตเตอร์ให้พวกเขา จะถ่ายรูปคู่ส่งไปยั่วโมโหพี่ชายทั้งทีคงโพสต์แบบธรรมดาไม่ได้ ดอกไม้สองช่อถูกนำไปฝากไว้กับผู้ติดตามของคาสโนว่าหนุ่มก่อนที่ร่างของบัณฑิตตัวเล็กจะถูกอุ้มขึ้นในท่าแบบเจ้าชายอุ้มเจ้าหญิง

     “โว้ว อย่าทำชั้นร่วงนะ!” สองแขนของคนพูดเกาะไหล่เพื่อนไว้แน่น
     “ฮ่าๆ พี่ชั้นเคยอุ้มนายแบบนี้มั้ย”
     “ไม่” จู่ๆแจจินก็ปิ๊งแผนการบางอย่างขึ้นมาในหัว เขาซบหน้าแนบบ่าเซฮยอนพลางส่งสัญญาณให้น้องสาวกดถ่ายรัวๆ “นี่ ส่งรูปที่ชั้นหอมแก้มนายไปนะ”

     คนถูกอุ้มยื่นปากไปจุ๊บแก้มน้องชายร่างเปรตของซึงฮยอนเร็วๆหนึ่งที จากนั้นทั้งคู่ก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นอย่างสะใจ

     “นายมันแสบว่ะ ฮ่าๆ”
     “เฮอะ วันนี้ยังไม่ได้อะไรจากหมอนั่นสักอย่างเลย”
     “อย่าเพิ่งน้อยใจไป เดี๋ยวมันก็มา”

     เซฮยอนอยู่พูดคุยกับแจจินอีกพักนึงก็ขอตัวแวะไปหาคนรู้จักที่คณะอื่นต่อ ส่วนคุณรองประธาน SPN Group ที่หายตัวไปอย่างลึกลับจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แวว



💋



     ตกน้ำตายไปแล้วมั้ง” แจจินพึมพากับกระแสน้ำไหลเชี่ยวตรงหน้า เขาออกมาจากหอประชุมได้เกือบชั่วโมงแล้ว บัณฑิตส่วนใหญ่ก็เริ่มทยอยกันเดินทางกลับ บริเวณลานปูนริมแม่น้ำแห่งนี้จึงไม่มีคนเหลืออยู่อีก “จะไม่โทรไปง้อเด็ดขาด เสียฟอร์ม”
     “แสดงว่ารู้ ว่ายังไงชั้นก็จะมา”

     เสียงนุ่มที่ดังอยู่ข้างหูไม่ได้ทำให้คนที่กำลังหงุดหงิดประหลาดใจแม้แต่น้อย

     “ก็เอออะดิ” ร่างเล็กหันกลับไปทำตาเขียวใส่ลูกค้าจูบสามปีของตัวเอง “น่าโมโหจัง”
     “งานรับปริญญาจบแล้ว แจจิน” ซึงฮยอนหยิบชุดครุยบนแขนมาถือแทนให้ “ให้คำตอบชั้นได้แล้ว”
     “คำถามคืออะไรนะ”
     “อยู่ในนี้”

     แจจินหลับตาทันทีที่อีกคนก้มหัวลงมา


     ริมฝีปากของเขา…

     สัมผัส



0



     “อ๊ะ”

     จูบราคา 500 บาทจูบสุดท้ายดำเนินมาอย่างเนิ่นนานท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น

     รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งสองก็ต่างรอให้วันนี้มาถึง

     และคำถามที่ซึงฮยอนจะไม่พูดออกมาอีกหน แต่ให้รสชาติของความรู้สึกเป็นตัวส่งออกไป


     รวมถึง…

     แหวนวงนั้น


     คนเด็กกว่าทำตาโต ของในปากถูกหยิบมาวางบนฝ่ามือ

     “ค...คุณ...อมแหวนไว้ในปากมาตลอดเวลาเลยเหรอ!”
     “เป็นแฟนกันนะ แจจิน”
     “น...เนี่ย เพชรจริงใช่มั้ย! ล...แล้วเอาไปอม จะบ้ารึไง!”
     “ชั้นรักนายนะ” คนตัวสูงคว้าเอวบางมากอด
     “นี่คุณ ฮึ่ก...” น้ำตาของแจจินหยดแหมะลงบนสูทตัวแพง “คุณกำลัง ขอผมแต่งงานอยู่รึเปล่า”
     “ก็ นายอยากให้มันเป็นแหวนคู่รักหรือแหวนแต่งงานล่ะ”

     แจจินสติหลุดไปเรียบร้อย แต่ที่มือยังกำของชิ้นนั้นไว้แน่นอย่างกับกลัวว่าจะทำหล่นหาย

     “ชั้นจะทำเป็นลืมๆไปนะ ไอ้เรื่องที่นายหอมแก้มเซฮยอนวันนี้น่ะ” เขาอยากจะสร้างความผ่อนคลายให้อีกฝ่าย “แต่ถ้าคบกันแล้วต้องไม่ทำแบบนั้นกับใครอีก เข้าใจมั้ย”
     “ยังไม่เคยมีใครให้แหวนแพงๆกับผม” ชัดเจนว่าเจ้าตัวยังคงคิดหมกมุ่นอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ “มันมีค่าเกินไป ผมกลัวจะรักษามันไม่ได้”
     “สำหรับชั้น นาย มีค่ายิ่งกว่าแหวนวงนั้นเสียอีก” คนพูดยิ้มกว้าง “แล้วชั้นก็กำลังทำทุกอย่างเพื่อรักษานายไว้อยู่นี่ไง”

     อุตส่าห์กลั้นน้ำตาไว้ได้แล้ว แต่นี่ ซึงฮยอนเพิ่งจะทำให้แจจินต้องร้องไห้ออกมาอีกรอบ

     “แต่คุณหายไปทั้งวัน คุณไม่มาอยู่กับผม” หยดน้ำบนแก้มนุ่มถูกเช็ดออก ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ที่กำลังส่ายหัว
     “ความจริงคือ แถวร้านแหวนมันรถติดมาก โชคดีที่ไม่ได้ทำให้แผนของชั้นคลาดเคลื่อน”


     ใช่แล้ว เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์แจจินในช่วงที่ทุกอย่างของวันนี้สิ้นสุดลง
     ...กับแหวนซึ่งมาพร้อมหนึ่งจูบที่เหลือ

     ถึงแม้ว่าลึกๆในใจจะอยากให้มันเป็นการขอแต่งงาน แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะรู้สึกว่ามันเร็วไปหรือยังไม่ทันได้เตรียมตัว เพราะฉะนั้น ซึงฮยอนจึงหวังเพียงแค่ ในที่สุดก็ได้คบกัน ก็พอ


     “ว่าไงแจจิน อย่าเงียบสิ”
     “ห้าม! ทิ้งผมแบบนี้อีก”
     “อื้ม”
     “แล้วก็ เหมือนเดิมนะ”
     “ครับ จะไม่ทำให้คุณแฟนผิดหวังเลย”

     เด็กขายจูบในวันนั้นก้มหน้าเขินอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป


     ตานั่นไม่เคยเรียกเขาว่า แฟน มาก่อน
     ส่วนเขาเองก็ไม่เคยเรียกซึงฮยอนว่า แฟน เช่นกัน


     “ไหนลองเรียกเราว่าที่รักหน่อยดิ”
     “ฮึ...” เสียงพูดงึมงำทำให้อีกคนได้ยินไม่ค่อยถนัด ร่างสูงย่อตัวลงมาหาแจจินที่ยังเอาแต่หลบตาอยู่ “เมื่อกี๊แทนตัวเองว่าอะไรนะ”
     “เรา ลองเรียกเราว่าที่รักหน่อย”


     หน้าแดงแปร้ดกันทั้งคู่แล้วตอนนี้


     “ที่รัก” ซึงฮยอนกอดหมับไปที่เอวของแจจินอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอ ปากแหลมๆนั่นยังโดนขโมยจุ๊บไปอีกหนึ่งที
     “ฮี่ๆ”
     “ที่รักคร้าบ”
     “เข้าปากมั้ยฮะซึงฮยอน”
     “ให้เรียกเมียก็ยังเข้าเลย โอ๊ย!”
     “ไอบ้า ไม่ให้เรียกเมีย” หมัดเล็กทุบอกหนาดังตุ้บ “สรุปว่าโอเคนะ”

     “โอเค คือจะคบ
     หรือจะแต่งอะครับ”


     คำถามนี้คนแก่กว่าก็แค่ต้องการจะแหย่เล่น


     แต่งครับ










     แล้วแหวนที่เคยอยู่ในปากซึงฮยอนก็ถูกนำไปสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายของแจจิน...เป็นที่เรียบร้อย



THE END

อ่าน Part 1 กดที่นี่

No comments:

Post a Comment